วันเสาร์ที่ 12 มิถุนายน พ.ศ. 2553

เมื่อฟ้าสีทอง ผ่องอำไพ


ประหลาดใจพอสมควรเมื่อรู้ว่า เสื้อแดงไปปิดล้อมอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิเมื่อช่วงบ่ายวันพฤหัสบดีก่อนสงกรานต์ นิสัยเดิม...เลิกงานปุ๊บ ... คว้ากล้องเชยๆตัวเดิมบึ่งรถขึ้นถนนบรมราชชนนี ไปลงพระราม๘ แล้วก็วกวนๆๆ ไปจนถึงด่านหน้าอนุสาวรีย์

กว่าหกโมงเย็น จอดรถไว้ที่ไกลๆ เดินจากด่านด้านนอก ซึ่งบอกไม่ถูกว่าจะเรียกว่าด่านอะไร แต่ขอบใจการ์ดเสื้อแดงเหลือเกิน ที่ให้สื่อเสื้อแดงตัวเล็กๆได้แบกกล้องสะพายขาตั้ง เดินดุ่มๆ เข้าไปดูสถานการณ์รอบๆ

มองไปรอบตัว ถนนทุกสายมุ่งเข้าอนุสาวรีย์ ถูกปิดด้วยรถแท็กซี่สารพัดสี คนเสื้อแดงทยอยมาจากทุกสารทิศ เดินเข้ามายังกลางลานอย่างต่อเนื่อง ทั้งที่ข่าวเพิ่งแพร่สะพัดไปได้สักสามชั่วโมง นักข่าวทั่วทุกสารทิศมาทั้งหนังสือพิมพ์ ทีวีโทรทัศน์ไทยเทศบนท้องฟ้ามีเฮลิคอปเตอร์บินวนไปมาตลอดเย็นถึงค่ำ

หมาน้อยถือโอกาสเดินสำรวจดูเสื้อแดงที่มาร่วมชุมนุม โดยเดินขึ้นสะพานลอยฝั่งราชวิถี สำรวจดูผู้คนอย่างต่อเนื่อง พลันสะดุดกับข้อความบนเสื้อสีดำ

“.. เมื่อฟ้าสีทองผ่องอำไพ ประชาชนย่อมเป็นใหญ่ในแผ่นดิน..”

เวลานั้น หมาน้อยแทบนึกไม่ออกเลยว่า แค่คล้อยหลังวันมหาสงกรานต์กลับกลายเป็นว่าคนเสื้อแดงต้องหนีแทบตาย หลบห่ากระสุนปืนหัวซุกหัวซุน

เราให้ความหวังแบบลมๆ แล้งๆ กันมาสามสิบกว่าปี ว่ายุคฟ้าสีทองผ่องอำไพกำลังจะมา รอมาจนบัดนี้ แต่ยิ่งรอฟ้าก็ยิ่งปิดมืดลงไปพร้อมกับพายุตั้งเค้า ลูกแล้วลูกเล่า วันนี้นอกจากฟ้าจะไม่ได้ผ่องอำไพแล้ว ฟ้าหลังฝนพายุจะสีอะไร หรือพายุนอกฤดูสารพัดลูก ไม่รู้ว่าพายุใครเป็นพายุใครวิ่งเข้าชนกันวุ่นวาย สายล่อฟ้าสายล่อสัญญาณพิเศษ แข่งกันส่งสัญญาณกับจานดาวเทียมสารพัดดวง เล่นเอาประชาชนไทยตาดำๆ อย่างหมาน้อยเริ่มไม่แน่ใจเองเสียแล้วว่า ฟ้าที่ว่าจะสีทองหรือสีอะไรนั้น ยังไม่สำคัญเท่ากับว่า ตกลงแล้ว

“ฟ้ายังคงเป็นฟ้าของเรา...... หรือเปล่า???”

น้ำตานางฟ้า



... เช้าตรู่วันที่ ๑๓ เมษายน ผมรีบคว้ากล้องคู่ใจราคาถูก ขึ้นรถแท็กซี่ไปยังทำเนียบรัฐบาลอีกครั้ง หลังรู้ข่าวทหารปะทะเสื้อแดงด่านดินแดง

ผมเดินเท้าจากสะพานพระราม ๘ ข้ามแม่น้ำเจ้าพระยา จนเข้ามาถึงหน้าเวที ผมเดินเข้ามาท่ามกลางข่าวลือสะพัดถึงการปะทะ การเสียชีวิต และบาดเจ็บของพี่น้องเสื้อแดงด้วยความเจ็บปวด เมื่อเจอเพื่อนร่วมอุดมการณ์ ผมโผเข้ากอดอย่างดีใจที่เขายังปลอดภัย ทุกคนขวัญกำลังใจดีมาก และมุ่งมั่นต่อสู้ ไม่ยอมถอยจากสถานที่ชุมนุม

กางเกงเปื้อนเลือด รอยรูกระสุนกางเกง กระสุนปืนจากที่เกิดเหตุ ถูกทยอยนำมาแสดงบนเวที ภาพคนบาดเจ็บจากกระสุน ถูกลำเลียงผ่านหลังเวทีคนแล้วคนเล่า

พี่น้องเสื้อแดงส่งสายตามายังผมด้วยความเจ็บปวดเมื่อเห็นวัตถุพยานแห่งความชั่วร้ายต่างๆบนเวที เธอคนนี้ยืนร้องเพลงอยู่หน้าสุดของเวที รอยคล้ำบ่งบอกถึงการอดหลับอดนอนตลอดคืนอันวุ่นวายที่ผ่านมา สายตาเธอแดงเรื่อๆ พร้อมน้ำตารินรดลงอาบแก้ม เมื่อเห็นกางเกงเปื้อนเลือดและรอยกระสุนบนเวที ความสลด เข้าเกาะกุมหัวใจผมทันที

...เราทำกันได้เพียงนี้เชียวหรือ?

อำมาตย์ ทหารกล้าฆ่าคนไทยเสื้อแดงสองมือเปล่า โดยไม่มีทางสู้เลยหรือ....
อำมาตย์ ทหาร ไม่มีสำนึกความเป็นคน เหลืออยู่ในจิตใจแม้แต่นักน้อยนิดเลยหรือ.....

น้ำตาผมรดลงแก้มอย่างไม่อายใครบนเวทีขณะถ่ายภาพนั้น

เราเคยมีนางฟ้างดงามในใจ แต่น้ำตานางฟ้าเสื้อแดงคนนี้ ทำให้ผมสำนึกได้ว่า เธอต่างหากเล่า คือ “ ... นางฟ้าตัวจริง...”

เลิกทาสกันแล้วหรือยัง?


ค่ำวันอาทิตย์ที่ ๑๑ ตุลาคม หมาน้อยเสื้อแดงน้อยๆ อย่างผม เดินต้อยๆ ไปอนุสาวรีย์ประชาธิปไตยด้วยความเริงร่า ท่ามกลางข่าวระเบิดรถตู้ที่สื่อหลักโหมประโคมตลอดทั้งวัน เป็นระยะ ๆ ความอยากรู้อยากเห็นรถตู้คันเกิดเหตุระเบิดและเพลิงไหม้หน้ากองสลากฯ เลยลดลงไป ไปดูแล้วก็ไม่ได้ใส่ใจอยากถามไถ่ว่าเกิดได้อย่างไร

ผมเดินวนไปมารอบ ๆ ที่ชุมนุมเพื่อสังเกตดูพ่อค้าแม่ขาย ดูพี่น้องเสื้อแดงเดินเท้ามา นั่งรถโดยสารมา ทยอยมาแต่เย็นจนสองทุ่มไปแล้ว ก็ยังเห็นคนมาเป็นระยะๆ ผมเดินไปหน้าด่านทางผ่านฟ้าสังเกตการณ์ ได้ข่าวว่า พี่ๆ การ์ดอาสา พร้อมกับทหารพรานที่มารักษาความปลอดภัยให้ พบกับรถมอเตอร์ไซด์น่าสงสัยสามคันพร้อมกับคนขับขี่นั่งซ้อนสองคนมาขี่วนเวียนอยู่ทางผ่านฟ้า พร้อมด่าทอแจกของดีกันสองสามรอบ

ชินแล้วครับ กับวิธีสกปรกนี้!!!

คณะผู้อภิวัฒน์ประชาธิปไตยเมื่อเจ็ดสิบกว่าปีที่แล้ว ดั้นด้นเสี่ยงชีวิตยึดอำนาจการปกครองมา แล้วเปลี่ยนเป็นระบอบประชาธิปไตย โดยหวังให้เกิดความเท่าเทียมกัน ผู้อภิวัฒน์การเปลี่ยนแปลงในครั้งนี้พยายามสลัดคราบอำมาตย์ออกจากวิถีความเป็นอยู่ของคนไทย แต่ดูเหมือนคนไทยเองยังรักที่จะเป็น “ทาส” อยู่ไม่หาย

คนไทยยังรักที่จะร่ำเรียนเพื่อเป็น “เจ้าคน นายคน” โดยหวังลึกๆจะได้บังคับบัญชา มีอำนาจสั่งเป็นสั่งตาย

คนไทยยังเรียกหัวหน้าตัวเองว่า “เจ้านาย” ด้วยเห็นว่า เจ้านายคือทุกสิ่ง เอาใจเข้าไว้จะเติบโต

คนไทยยังหวังทำงานกินเงินเดือนหรือให้รัฐเลี้ยงโดยขาดความกระตือรือร้นในการแสวงหาความก้าวหน้าในชีวิตด้วยความใฝ่รู้ ทำงานหวังเงินเดือนไปวันๆโดยไม่คิดพัฒนาผลงานตัวเอง คอยแต่จะพูดว่า “จะให้ทำอะไร ท่านก็สั่งมาสิครับ”

คนไทยยังเพรียกเรียกหาหัวหน้า หรือ “เทวดา” มาเพื่อหวังคุ้มกะลาหัว หรือเอาเทวดามาไว้เป็นแพะรับบาป ว่าชีวิตตนตกอับเพราะเทพไม่ดลบันดาล แต่ไม่ได้หันดูตัวเอง หวังพึ่งคนอื่นเป็นร่มโพธิ์ร่มไทร เลยพาลไถลไปไกลพึ่งพา “ไสยศาสตร์” ด้วยคำพูดสุดคลาสสิคว่า “ไม่เชื่อ อย่าลบหลู่”

ยุคนี้ พ.ศ.นี้ เทวดาก็ตกสวรรค์ นายกฯ ก็เอาแต่กู้ สาระชาติไทยวนเวียนกับ ด.ช.เคอิโงะกับหลินฮุ้ย คนไทยจะหวังพึ่งพาอะไรไม่ได้แล้วก็ไม่เหลืออะไรให้พอพึ่งพิงได้ ลัทธิชาตินิยมก็โผล่มาทุกที ใครเชื่อตามก็เป็นคนดีของชาติ ใครไม่เชื่อก็จะโดนคำถามคลาสสิคสุดๆว่า “เอ็งคนไทยหรือเปล่า?”

สังเกตว่านิสัยการพึ่งพาบุคคลรอบข้าง บนบานสิ่งศักสิทธิ์ รวมทั้งหาพรรคหาพวกเพื่อแสดงถึงความเห็นอันเป็นกลุ่มก้อนโดยอาศัยความเป็นชาตินิยมเดียวกัน แสดงถึงความเป็นทาสในใจ ที่ไม่ต้องการค้นหาอิสรภาพให้กับชีวิต ให้จิตใจ และไม่ยอมคิดค้นหาอิสรภาพอย่างแท้จริงให้กับอุดมการณ์ความคิดของตนเองเลย

เขาเลิกทาสกันทางนิตินัยมาร้อยกว่าปีแล้ว แต่โดยพฤตินัย คนไทยทุกวันนี้สมัครใจเป็นทาสแก่กันและกันโดยสมบูรณ์ เมื่อไหร่เราจะเลิกทาสกันได้จริงๆสักทีครับ

เพราะไม่มีความยุติธรรม??


ตลอดสัปดาห์อันวุ่นวายในตลาดหลักทรัพย์ หุ้นตกกระจายสองวันติดๆ จากข่าวลือว่อนตลาดหลักทรัพย์ หมาน้อยไม่รู้เรื่องหุ้น รู้แต่เรื่องหวย นึกขึ้นได้หมาน้อยจึงรีบตีเลขจากข่าวลือฝากเพื่อนไปแทง สรุปว่าหวยแทงหมาน้อยซะพรุนเลยครับ

เรื่องข่าวลือในบ้านเรานี้ จะว่าแปลกก็แปลกครับ เพราะคำว่าข่าวลือมันควรเป็นข่าวที่ไร้สาระ หาที่มามูลเหตุไม่ได้ หาความจริงไม่ได้ แต่ข่าวลือบ้านเรานั้นแปลกกว่า ตรงที่มักพูดกันในเรื่องห้ามพูดเรื่องไม่ควรพูด เมื่อมีข่าวลือกันเรื่องใด อนาคตก็จะพิสูจน์ให้เห็นอยู่เสมอว่าข่าวลือนั้นๆ เป็นเรื่องจริง

จบเรื่องข่าวลือดีกว่าครับ หมาน้อยอยากพูดเรื่องข่าวจริงมากกว่า

ข่าวการชุมนุมคนเสื้อแดงเพื่อทวงถามเรื่องฎีกากับรัฐบาล หน้าทำเนียบรัฐบาลเมื่อค่ำวันเสาร์ที่ ๑๗ ตุลาคม
หมาน้อยคิดว่าคนจะมาไม่มากดูกระแสแล้วจะมีแค่พี่น้องเสื้อแดงกรุงเทพและปริมณฑลมาร่วม

หมาน้อยไปถึงสะพานมัฆวานรังสรรค์ราวสี่โมงเย็น ที่จอดรถเต็มแล้วครับ ไม่ได้จอดที่จอดรถใหนหรอกจอดกลางสะพานเลย
หมาน้อยเดินต้อยๆ สังเกตรอบๆ บริเวณไปตลอดจากสะพานมัฆวาน พ่อค้าแม่ขายเข็นข้าวของมาขาย คนเสื้อแดงก็ร่ำรวยช่วยซื้อทุกอย่างสีแดงที่ขวางหน้า พอเลี้ยวขวาเข้าถนนพิษณุโลก พี่การ์ดก็ทำงานอย่างเข้มข้นตรวจสิ่งของทุกอย่างเพื่อให้ผู้มาชุมนุมได้มั่นใจในความปลอดภัย ขอขอบคุณในน้ำใจจริงๆ ไว้มีโอกาสหมาน้อยจะไปด้อมๆ สัมภาษณ์พี่การ์ดมาให้ อิอิ



ระยะทางแค่ห้าร้อยเมตรจากหน้าเวทีทอดลงถนนพิษณุโลก หมาน้อยคลานต้วมเตี้ยมเบียดเสียดมากกว่า ๓๐ นาที จนลิ้นห้อย พลางนึกในใจว่าพี่น้องเสื้อแดงจะมาทำไมหนักหนาน้อ.... ไม่เคยเร๊ยยยย มางานเสื้อแดงแล้วเดินแบบโล่งๆ ต้องเบียดต้องอัดยัดแน่นแล้วแน่นอีกพร้อมเสียงหัวใจแดงตบตลอดทาง มาได้จวนหน้าเวที หมาน้อยต้องหนีคนโดยปีนขึ้นนั่งร้านจอโปรเจคเตอร์ เพื่อดูภาพมุมสูง หมาน้อยมาพอดีจังหวะเลยครับ ตำรวจกับหน่วยสันติวิธี ซึ่งเป็นกองกำลังสันติชาวเสื้อแดงกำลังผลักดันกันอยู่ตรงด่านหัวถนนหน้าทำเนียบรัฐบาล ผลักดันกันสักพัก การเจรจาสรุปว่า ตำรวจจะเปิดพื้นที่ให้สักพอประมาณให้เสื้อแดงขยายเข้าไปนั่งลดความแออัดบริเวณหน้าเวที หมาน้อยตั้งกล้องไว้หลายนาทีเพื่อสังเกตการณ์ เพราะหากมีเหตุการณ์ใดรุนแรงจะได้มีภาพไว้เป็นหลักฐาน จากนั้นหมาน้อยก็ดิ้นหัวสั่นหัวคลอนส่ายสะโพกกระดิกหางไปกับเพลง "รักคนเสื้อแดง" สองรอบที่ร้องปลุกใจไม่ให้เสื้อแดงเครียดเกินไป

หลุดจากหน้าเวทีก็ปีนข้ามคลอง อิอิ หมาน้อยถนัด สี่เท้าโกยอ้าวข้ามสะพาน เล็ดลอดขาการ์ดเพราะตัวเตี้ย เข้าหลังเวทีไปหลบอยู่หน้าเวทีหอบแฮกๆๆ

หมาน้อยหันรีหันขวางพลางสบตากับคุณลุงแก่ๆ คนหนึ่งนั่งหน้าเวทีเกาะรั้วเหล็กไว้ หมาน้อยนั่งแอบมองอยู่เป็นนาน คุณลุงเปลี่ยนท่านั่งยองๆ มาเป็นยืดขาเป็นระยะๆ หมาน้อยเองชอบคุยกับคนมีอายุ เพราะหมาน้อยสมัยเอ๊าะๆ อยู่กับยายทองปูน เลยคุ้นเคยและเข้าใจคนสูงอายุเสมอ

คุณลุงเจ็ดสิบสี่ปี บ้านอยู่แถวสวนพลู (หากฟังไม่ผิดเพราะคุยกันข้างลำโพงใหญ่) กรุงเทพมหานคร คุณลุงหอบสังขารมาร่วมชุมนุมเสื้อแดงทุกครั้งด้วยหัวใจเต็มร้อย และทุกงาน น้ำท่วมที่หน้าลานพระรูปฯ เมื่อวันที่ ๑๙ กันยายนเนื่องในโอกาสครบรอบ ๓ ปีวันรัฐประหารที่ผ่านมาลุงก็ไปยืนขาจมน้ำแถวนั้น

๑๓ เมษายนเลือด ใครก็ไม่นึกฝันว่าลุงคนนี้จะยืนกระแหย่งๆๆ เดินเล็ดลอดเข้ามายืนอยู่บริเวณหน้าทำเนียบประจัญหน้ากับทหารหาญชาติไทยถือปืนเอ็มสิบหกที่พร้อมยิงคนแก่วัยเจ็ดสิบกว่าให้ตายคาหน้าด่าน

คุณลุงเล่าว่า อายุลุงจะแปดสิบปี ลุงไม่เคยเจอนายกรัฐมนตรีคนใหนในชีวิตที่จะรักและทำงานให้กับคนยากคนจน คนชั้นกลางอย่างจริงใจเท่ากับนายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตร ตลอดชีวิตลุงที่อาศัยในผืนแผ่นดินไทยไม่เคยเห็นหรือจดจำผลงานของนายกคนใหนได้เท่าผลงานของท่านทักษิณ ลุงเล่าผลงานได้ทั้งหมดอย่างละเอียด นายกฯ คนอื่นๆ ทำงานผ่านๆ ไป ไม่มีผลงานความเปลี่ยนแปลงใดๆ ให้กับชาติบ้านเมือง มีแต่เรื่องราวทุจริตโกงกิน คุณลุงถามกลับว่า ที่บอกว่าทักษิณโกงน่ะ ที่สุดผ่านมาสามปี ศาลยังไม่กล้าตัดสินให้ท่านผิดฐานโกงกล้ายางเลย ซีทีเอ็กซ์ก็ไม่กล้าส่งฟ้อง ตกลงใครโกงใครกันแน่

ถามต่อว่า คุณลุงรักนายกฯ ทักษิณใหม คำตอบที่ทำให้หมาน้อยน้ำตาซึมหางกระดิก ก็คือ "หากลุงไม่รัก ลุงจะมานั่งอยู่บนถนนตากแดด ตากฝนอย่างนี้หรือ ชีวิตนี้ลุงก็ให้ท่านได้ ลุงได้แต่ฝันให้ท่านกลับมาเมืองไทยอีกครั้ง มาเป็นนายกรัฐมนตรีของคนไทยก่อนลุงจะแก่ไปกว่านี้"

ท้ายสุดหมาน้อยถามคุณลุงว่า แล้วทั้งหมดของเหตุผลที่คุณลุงออกมาใส่เสื้อแดงทนลำบากนั่งกลางถนนคืออะไร คุณลุงตอบหมาน้อยด้วยสายตามุ่งมั่น น้ำเสียงคมกริบในวัยร่วมแปดสิบว่า "เพราะความไม่ยุติธรรมในแผ่นดินไงละหลาน"

ชัดใหมเล่าครับ ท่านอำมาตย์
โฮ่ง โฮ่ง จบข่าว!!!

ตะลอนทัวร์ภูเก็ต



หมาน้อยยื่นใบลาพักร้อน (ตอนหน้าฝน) ไปงานเทศกาลถือศีล กินผักเมืองภูเก็ตเมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา เทศกาลถือศีลกินผักหรือเรียกสั้นๆว่ากินเจภูเก็ต เป็นเทศกาลที่ผู้คนทั้งเกาะภูเก็ตจะร่วมใจกันทานเจ ใส่ชุดขาว ปฏิบัติธรรมและมีพิธีกรรมต่างที่แสดงถึงอิทธิฤทธิ์ของม้าทรง หรือเทพเจ้าตามความเชื่อ เช่น ปีนบันไดมีด ลุยไฟ อาบน้ำมันร้อน แห่พระรอบเมือง รวมระยะเวลา ๙ วัน ๙ คืน

หมาน้อยได้เจอเพื่อนฝูง เพื่อนเสื้อแดงภูเก็ต ตลอดจนคนขับมอเตอร์ไซด์รับจ้างที่มีน้ำใจสร้างความประทัปใจให้หมาน้อยมาก

เทศกาล ปีนี้หมาน้อยรู้สึกเลยว่าเงียบเหงามากกว่าทุกๆปี หมาน้อยไม่เคยเดินถ่ายภาพกลางเมืองได้โล่งขนาดนี้ คนน้อยลงไปมาก นักท่องเที่ยวที่เข้ามาเที่ยวหน้าเจ คือนักท่องเที่ยวมาเลเซีย จีน ไต้หวัน ฮ่องกง ยังไม่มาเที่ยวกันทั้งที่เป็นเทศกาลใหญ่แล้วราคาห้องพักรวมค่าใช้จ่ายไม่แพง เลยสำหรับนักท่องเที่ยวแสนประหยัดกลุ่มเอเซีย

หมาน้อยได้คุยกับหลายๆ คน ทั้งที่สายเลือดสีฟ้าพระแม่ธรณีประชาธิปัติย์เข้าเส้น แต่กลับบ่นก่นด่าเชิงเกรงใจเล็กน้อยว่ารัฐบาลไม่มีฝีมือ

ได้โอภาปราศัย กับหลายท่านที่ประสงค์เอ่ยปากแต่ไม่ประสงค์เอ่ยนาม บอกเล่าให้ฟังว่าสาเหตุหลักเกิดจากการปิดสนามบินภูเก็ตบ้านตัวเอง เนื้อความมีว่าผู้มีอิทธิพลท้องถิ่นเชื้อสายพันธมิตรแจ้งให้ชาวบ้านตามชุมชน ต่างๆ โดยเฉพาะคนขับรถแท็กซี่หน้าหาด มอเตอร์ไซด์รับจ้างไปร่วมกันปิดสนามบิน โดยบอกกล่าวล่วงหน้า ๑ วัน อีกทั้งการปิดไม่ใช่แค่สนามบินเดียว แต่วางแผนลามไปถึงพังงา กระบี่ หาดใหญ่ ซึ่งเป็นจังหวัดสำคัญด้านท่องเที่ยวภาคใต้ทั้งสิ้น ชาวบ้านที่ไม่ได้คิดหน้าคิดหลังก็ไปโดยหวังเงินค่าจ้างและสนุกสนานแก้เซ็ง แต่หารู้ไม่ว่าเป็นการทุบหม้อข้าวตัวเองอย่างแรง มันเป็นการแสดงให้เห็นว่าเป็นการกระทำที่มีการวางแผนไว้ล่วงหน้า เตรียมผู้คน จัดหาวิธีการ เรียกสื่อไปทำข่าวตีพิมพ์ไปทั่วโลก ไม่ใช่ทำเพราะอารมณ์ชั่ววูบ อีกทั้งคนทั่วเกาะภูเก็ต เสพข่าวสารจาก "เดอะลิ้ม แอนด์ เดอะแก๊ง" ทั้งเกาะ ทุกย่านร้านค้าเปิดทีวีหน้าร้านให้ลูกค้าดู ล้างสมองกันทั้งวันทั้งคืน อย่าลืมน่ะครับเขาไม่ได้อยู่ดีๆ อยากดู เดอะลิ้มขึ้นมา หากไม่ใช่เพราะเดอะลิ้มกับเดอะมาร์คคืออันเดียวกัน เวลานั้น ปชป.คือ พธม. และ พธม.คือ ปชป. นักการเมืองท้องถิ่นสนับสนุนทุกวิถีทาง บริการรถทัวร์อย่างดีวิ่งขึ้นล่องมาหน้าทำเีนียบ หมาน้อยยังเคยกลมกลืนร่วมวงมาด้วย จนกระทั่งเดินด้อมๆ เข้าทำเีนียบไปกะเขา จะสมน้ำหน้าหรือสงสารดี

ด้านการค้าขายตอนนี้ หลายคนเล่าให้ฟังว่า ไม่เคยต้องชักเนื้อกินของเก่าเลย ปกติจะมีเงินหมุนเวียนใช้จ่ายสบาย และเหลือเก็บใช้ตลอดปีจากตอนหน้าไฮด์ซีซั่น แต่ปีนี้ปีแรกที่ต้องเอาเงินเก็บมาจ่ายค่ากินค่าอยู่ ขายได้แค่ค่าเช่า หลายคนเคยเอาเงินจากวิ่งรถไปผ่อน ตอนนี้ต้องเอาเงินเก็บไปจ่ายค่าผ่อน บางคนมีร้านค้าเล็กๆ ตามห้างเซ็นทรัล โลตัส หน้าหาด ๔ ถึง ๕ ร้านค้า ต้องรีบปิดหนีตายเหลือสองร้านภายใน ๑ ปี

ภูเก็ตวันนี้ เหลือแขกเข้าพักไม่เกิน ๓๐ เปอร์เซนโดยประมาณ ทั้งที่หลังธรณีพิบัติภัย แขกยังมีกว่า ๖๐ เปอร์เซนต์
ภูเก็ตวันนี้ ร้านค้าต่างๆ ของคนรู้จัก ทยอยปิดตัวไปมากกว่า ๕๐ เปอร์เซน โดยเฉพาะร้านขนาดเล็ก แล้วก็หน้าใหม่ก็เข้ามาเปิดแทนที่เพื่อรอความฝันหน้าไฮน์ซีซั่น (หน้าไฮด์ปีที่แล้ว ล่มเพราะพันธมิตรปิดสนามบินภาคใต้ และสุวรรณภูมิ ล่าสุดเห็นว่าแขกหน้าไฮด์ซีซั่นปีนี้ ยังไม่จองกันเท่าไรทั้งที่จะเข้าเดือนพฤศจิกายนแล้ว)
ภูเก็ตวันนี้ คนขับมอเตอร์ไซด์รับจ้าง เคยมีรายได้ ๘๐๐ ถึง ๑๒๐๐ บาทต่อวันอย่างน้อย วันนี้แค่ ๓๐๐ บาทยังหายาก
ภูเก็ตวันนี้ อาหารเจจานละ ๕๐ บาท จากงานเจปีก่อน ๔๐ บาท
ภูเก็ตวันนี้ ค่าเช่ารถมอเตอร์ไซด์หมาน้อย ลดสุดๆ เหลือ ๑๕๐ บาท จาก ๒๕๐ บาท

ท่านรัฐบาลทั้งหลายยังเที่ยวหลอก ชาวบ้านอยู่ได้ว่าเศรษฐกิจดีขึ้น แขกกลับมาจองแล้วมากกว่า ๘๐ เปอร์เซน ไม่รู้เอาตาที่ใหนไปดู เอาหูที่ใหนไปฟังข้าราชการชะเลียข้อมูล

หมาน้อยเห่าพอเหนื่อยแล้ว ไปจุดประทัดต่อดีกว่า

วันนี้อยากให้คน ภูเก็ตและภาคใต้คิดใหม่จริงๆ

หนูยิ้มพิมพ์ใจ



หมาน้อยเจอคุณน้องยิ้ม เมื่อตอนคุณน้องยิ้มขึ้นเวทีเสื้อแดงครั้งแรกๆ เมื่อประมาณวันที่ ๒๖ มีนาคม หน้าทำเนียบรัฐบาล
หมาน้อยได้ยินเสียงของเธอครั้งแรก ก็เมื่อครั้งเธออภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลอภิสิทธิ์ เมื่อประมาณวันที่ ๒๐ มีนาคม ๒๕๕๒ หมาน้อยไม่ได้รู้จักเธอมาก่อนเลย ได้ยินชื่อเธอแล้วก็ "เฉย เฉย"


เริ่มพูดไปอ่านโพยไปก็รู้สึก "เฉย เฉย" แต่ยิ่งพูด ยิ่งมันส์ ได้ลีลาอารมณ์อย่างไม่ได้คาดคิด

เธอคือ "วิสาระดี" เธอก้าวมายืนข้างหน้าไม่ใช่เพราะโชคช่วย เธอคลุกคลีอยู่กับการเมืองเพราะคุณพ่อเธอเป็น สส. เชียงราย คุณแม่เป็นสมาชิกสภาจังหวัด คุณอาก็เป็นสมาชิกวุฒิสภา เธอจึงเติบโตมาในสิ่งแวดล้อมการเมือง
เธอจบการศึกษาจากอังกฤษ และมาสมัครผู้แทนราษฏรแทนพ่อซึ่งถูกตัดสิทธิ์ทางการเมืองสมัยพรรคไทยรักไทย เธอลงสมัครและลงพื้นที่หาเสียงด้วยสโลแกนติดปากว่า "ขออาสาฮับไจ้แทนป้อ" เธอได้เข้าสู่สภาเมื่อปลายธันวาคมปี ๕๐ ต่อมาพรรคพลังประชาชนโดนยุบ เธอจึงย้ายสังกัดเข้าพรรคเพื่อไทย และได้รับมอบหมายให้อภิปราย นายกษิต ภิรมย์ รมต.ต่างประเทศ ผู้หญิงตัวเล็กๆ หน้าหวานๆ ชื่อยิ้มๆ กลับซ่อนคมดาบไว้เชือดเฉือนคุณกษิตเสียจนคู่กรณีอย่างคุณรังสิมา แห่งพรรคประชาธิปปัตย์ ทนไม่ได้ต้องลุกขึ้นประท้วงเธอจนทุกสายตาต้องหันมาจ้องที่เธอ ทุกสถานีโทรทัศน์ หนังสือพิมพ์ ลงข่าว ภาพเธอทุกฉบับทุกคำปราศรัย แค่ข้ามคืน เธอกลายเป็น ท๊อกออฟเดอะทาว ด้วยรอยยิ้มที่สวยหวาน น่ารักแต่สอดใส้ความคมชัด จัดเจนในสภาฯ

หมาน้อยเห่าโฮ่งๆ ให้เจ้านายเปิดดูเวลาเธออภิปรายในสภา หมาน้อยจำได้ว่านั่งตากลมฟังเธอปราศรัยหูกระดกหางกระดิก เธอประหม่านิดๆ เสียงสั่นๆ หน่อยๆ แต่เธอก็สะกดความกลัวแปรเปลี่ยนเป็นความกล้า เธอแฉคุณกษิต มีเอี่ยวกับนายแป็บซี่เรื่องค้าเงินตลาดมืด ไถเปียโนอ้างจะไปให้ผู้ใหญ่แต่ดันไปโผล่ในบ้านคุณกษิตตอนไปถ่ายออกรายการทีวี ตลอดจนไปดูถูกพระระดับเลขานุการในสมเด็จพระสังฆราชที่เดินทางไปเผยแผ่พระพุทธศาสนาในต่างประเทศว่า "หลวงพ่อ มาหากินไกลจริงน่ะ" ยังไม่นับไปกราบนับถือนักบวชนอกรีตสังกัดโพธิรักษ์ เธอพูดนิ่งๆ แต่เล่นเอาสภาสั่นสะเทือนเพราะเธอพูดแต่ "ความจริง และตรงประเด็น" หมาน้อยได้ฟังแล้ว "งี๊ดง๊าดดด" กับคารมของเธอ

หมาน้อยเจอตัวเป็นๆ สวยๆ ของเธอบนเวทีเสื้อแดง เธอขึ้นอภิปรายแนะนำตัวพร้อมปราศัยสั้นๆบนเวทีว่า
"ขอกราบสวัสดีพี่น้องชาวเสื้อแดงทุกท่านค่ะ น้องต้องขอกราบสวัสดีพี่น้องชาวเสื้อแดงที่รักประชาธิปไตยทุกท่านค่ะ ตัวยิ้มเองก็อยากจะขอเป็นกำลังใจให้ทุกท่านสู้ เรียกร้อง ประชาธิปไตยของเรากลับคืนมา ให้ได้น่ะค่ะ ขอบคุณค่ะ" คำปราศรัยเรียกเสียงกรี๊ดจากพี่น้องเสื้อแดงถล่มทลายด้วยความน่ารัก และกึ๋นของเธอ

หมาน้อยฟังเธอแล้วก็ดีใจที่บ้านเรามี สส.คุณภาพเช่นเธอ แต่ก็เสียใจเพราะเธอกำลัง "สละโสด"

ลุงนวมทอง ไพรวัลย์


เมื่อเอ่ยถึงคำว่า "วีรบุรุษ" แล้ว สำหรับคนไทยทั่วไปก็มักนึกไปถึงบุคคลในประวัติศาสตร์ ที่เป็นแม่ทัพนายกอง เจ้าพระยามหากษัตริย์ ตลอดจนหมู่ประชาชนผู้มีส่วนในการต่อสู้รักษาเอกราชกอบกู้บ้านเมืองหรือท้องถิ่นอาศัย หลายครั้งที่มีนักประวัติศาสตร์สมัยใหม่เริ่มตั้งข้อสงสัยเกี่ยวกับเรื่อง ราวเหตุการณ์หรือประวัติของวีรบุรุษในอดีต เช่นบุคคลเหล่านั้นมีตัวตนจริงทางประวัติศาสตร์หรือไม่? หรือได้มีเหตุการณ์สำคัญจริงเหมือนที่ได้ศึกษาเล่าเรียนมาหรือเปล่า?

อีกทั้งเมื่อมองไปถึง "ผู้เขียน" หลักฐานทางประวัติศาสตร์ก็เกี่ยวพันกับเจ้าพระยามหากษัตริย์ หรือผู้ชนะศึกสงครามไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง ดังนั้นจึงปฏิเสธไม่ได้ว่า "ผู้ชนะเป็นผู้เขียนประวัติศาสตร์" เมื่อผู้ชนะเป็นผู้เขียนก็ย่อมเขียนในมิติของตน น้อยครั้งเหลือประมาณที่จะเขียนในมิติของสังคมหรือประชาชน
ยุค ปัจจุบัน หมาน้อยคิดว่าประชาชนอย่างเราๆท่านๆ คงจะเป็นวีรบุรุษกับเขายากหน่อย ที่พอมีเอ่ยอ้างเป็นวีรบุรุษของชาติ ก็จะเป็นทหาร ตำรวจ เจ้าหน้าที่ผู้สละชีพปกป้องเอกราช ผู้รักษาความสงบในภาคใต้ ภาคประชาชนหากไม่นับเหตุการณ์เดือนตุลาคมแล้ว ก็คงเป็นนักกีฬาเหรียญทองโอลิมปิค แล้วก็คุณครูจูหลิง ปงคำมูล ที่เป็นราษฎรประชาชนธรรมดา ที่สังคมให้ความรักและยกย่องด้วยใจ

วีรบุรุษ ในใจคนรักประชาธิปไตยอีกท่านหนึ่ง "นวมทอง ไพรวัลย์" คนขับแท็กซี่ที่ทนไม่ได้กับการรัฐประหารของคณะ คมช. คงไม่ต้องเอ่ยว่าท่านเสียชีวิตเช่นไรเพราะจักสร้างความสลดใจให้กับครอบครัว และคนที่รักท่าน หมาน้อยได้ไปร่วมงานทำบุญอุทิศส่วนกุศลเนื่องในวันครบรอบวันถึงแก่กรรม ๓ ปี ที่บริเวณสะพานลอยข้ามถนน หน้าสำนักงานหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ ถนนวิภาวดีรังสิตช่วงเช้าวันที่ ๓๑ ตุลาคมที่ผ่านมา

หมาน้อยและ เพื่อนๆผู้รักประชาธิปไตย ได้ใช้เวลาสั้นๆ สักสองชั่วโมง ในการรำลึกถึงเหตุการณ์เมื่อสามปีก่อน แกนนำหลายท่านได้มาร่วมกันทำบุญถวายจตุปัจจัยไทยทานแด่พระสงฆ์ และกรวดน้ำอุทิศแด่คุณลุง ผู้จัดได้ติดป้ายไว้อาลัยและวางดอกไม้ ณ จุดบริเวณที่ท่านลาโลกนี้ และร่วมยืนไว้อาลัยเป็นเวลาสั้นๆ เพื่อรำลึกถึงท่าน หมาน้อยเองไม่ได้รู้จักคุณลุงเป็นการส่วนตัว แต่จากจดหมายฉบับสุดท้ายที่คุณลุงเขียนไว้สั่งเสียก่อนจะลาโลก ได้ทำให้หมาน้อยรู้สึกเสมอว่า หมาน้อยจะนั่งเกาคางหาเห็บหมัดไม่ได้แล้ว หมาน้อยขอถือโอกาสนี้นำจดหมายฉบับสุดท้ายของคุณลุงมาลงไว้ ณ ที่นี้เพื่อเป็นอนุสรณ์แด่คุณลุงนวมทองในโอกาสวันครบรอบวันเสียชีวิต ๓๑ ตุลาคมดังนี้

"เทิดทูนชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ รัฐทหารและรัฐตำรวจ (ต้องไม่มี)

สวัสดีครับท่านพี่น้องประชาชนที่ เคารพ เหตุที่กระผมทำการพลีชีพเป็นครั้งที่ 2 โดยการทำลายตัวเองเพื่อมิให้เสียทรัพย์เหมือนครั้งแรกก็เพื่อลบคำสบประมาท ของท่านรองโฆษก คปค.ที่ให้สัมภาษณ์หนังสือพิมพ์หลายฉบับว่า "ไม่มีใครมีอุดมการณ์มากขนาดยอมพลีชีพได้"

เหตุพลีชีพครั้งแรกของผมยอม รับว่าคำณวนความเร็วของรถแท็กซี่ผิดพลาด รถถังที่จอดลานพระบรมรูปทรงม้าติดด้านหัวถนราชดำเนินนอก เมื่อผมขับรถผ่านกองบัญชาการทัพบกพ้นหัวถนนและเกาะกลางถนนเพื่อพุ่งเข้าชน เพื่อหักเลี้ยวแบบตัว S ความเร็วจึงลดลงมากเพราะต้องการชนแบบประสานงาน

ผม จึงแค่บาดเจ็บสาหัส ซี่โครงหัก 5 ซี่ ตาซ้ายบวมช้ำคางทะลุถึงภายในช่องปาก รักษาตัวโรงพยาบาลวชิรฯ มีคณะของคุณครูประทีป ฮาตะ และคณะอื่นๆ มาเยี่ยมหลายคณะและมีผู้สื่อข่าว นสพ. มาขอสัมภาษณ์ว่า ไม่พอใจหรือที่ปฏิรูปแล้วบ้านเมืองสงบสุข ไม่มีการนองเลือด ผมตอบไปว่าใครทำผิดกฎหมายและก่อความไม่สงบก็ต้องดำเนินการตามกฎหมาย ที่ผ่านมามีเบื้องหลังเบื้องลึกมากมาย ตอนนี้ก็เปิดหน้ากากออกมาจนเกือบหมดแล้ว เป็นการตบหน้าประชาชนอย่างไม่อาย. แต่ไม่เห็นเป็นข่าวรวมทั้งข่าวของผมที่ชนรถถังเพื่อประท้วง คปค. ลงข่าว นสพ. วันเดียวเงียบหายไปเลย ผมรักษาตัวที่โรงพยาบาลวชิรฯ 13 วัน คุณหมออนุญาตให้กลับมาพักฟื้นที่บ้านและนำ นสพ. ที่เสนอข่าวชนรถถังประท้วงคปค. ของผม พบคำสัมภาษณ์ท่านรองโฆษก ใน นสพ. ตรงกันหลายฉบับด้วยถ้อยคำที่กล่าวมาข้างต้นและยังปรามาสว่าผมแก่แล้ว คงทำด้วยอารมณ์ชั่ววูบ ก็มีเวลาเอาสีมาพ่นข้อความรอบตัวรถยังคิดว่าอารมณ์ชั่ววูบ ไม่น่าให้ทำงานและกินเงินเดือนที่ได้มาจากภาษีของประชาชนเลย.

ความ คิดผม เมื่อหายป่วยดีก็จะทำมาหากินขับรถ TAXI ไม่ก่อวีรกรรมอีกต่อไป แต่พบข้อความการให้สัมภาษณ์ นสพ. ของท่านรองโฆษก คปค. ในเชิงปรามาสดังกล่าวก็เลยต้องสนองตอบกันหน่อย เพราะนิสัยคนไทยฆ่าได้แต่หยามไม่ได้ และเหตุผลที่ผมเลือกวันสุดท้ายของเดือนตุลาคมเป็นวันพลีชีพเพราะเดือนนี้ เป็นเดือนที่วิญญาณของวีรชนที่สถิตอยู่ที่อนุสรณ์สถานฯ ที่ผมทำการพลีชีพนี้ได้เรียกร้องกระทั่งได้มาซึ่งประชาธิปไตย และวิญญาณของผมก็จะสถิตอยู่กับเหล่าวีรชนแห่งนี้ตลอดไป และขอยืนยันว่าปฏิบัติการทั้งสองครั้งทำด้วยใจ ไม่มีใครจ้าง

สุดท้าย ขอให้ลูกๆ และภรรยาจงภูมิใจในตัวพ่อ ไม่ต้องเสียใจ ชาติหน้าเกิดมาคงไม่พบเจอการปฏิวัติอีก

ลาก่อน พบกันชาติหน้า

ปล. ขอแก้ข่าว ขวดยาที่พบในรถภายหลังเกิดเหตุคืออาหารเสริมแคปซูลใบแปะก๊วยไม่ใช่ยาแก้ เครียดตามที่ลงข่าว นสพ. ผมไม่เครียดแต่ประท้วงจอมเผด็จการ

สวัสดีครับ


29 ตุลาคม 2549
(นายนวมทอง ไพรวัลย์)

ประวัติศาสตร์ชาติไทยจะ ยกย่องใครเป็นวีรบุรุษก็ตาม แต่สำหรับหมาน้อยแล้ว ประชาชนคนชื่อ "นวมทอง ไพรวัลย์" เป็นวีรบุรุษในใจของหมาน้อยตลอดไป

ไว้อาลัย เจ๊ขก



เพิ่งเที่ยงวันของวันอาทิตย์ก่อนปิดต้นฉบับ หมาน้อยได้รับโทรศัพท์ด่วนจากเพื่อนพ้องเสื้อแดงแจ้งข่าวอันน่าเศร้าว่า คุณธรรมรส สุนทรพล หรือ เจ๊ขก นักรบเสื้อแดงหญิงคนแกร่งแห่งวงการไซเบอร์ และห้องแคมฟล็อคราชดำเนินเรด ได้จากพวกเราไปตั้งแต่เมื่อเย็นวันเสาร์ที่ ๑๔ พฤศจิกายน

หมาน้อยรู้จักเธอครั้งแรกจากการฟังคลิปทางอินเตอร์เนตที่เธออภิปรายอย่างดุเด็ดกับประเด็นบ้านเมือง เป็นเจ้าของวลี สุดดัง ที่ไม่อาจเขียนผ่านหน้ากระดาษหนังสือพิมพ์นี้ได้ นักเล่นเนตทั้งหลายทั้งสีเหลืองสีแดง ต้องรู้จักเธอเป็นอย่างดี

เจ๊ขกเธอเป็นคนร่าเริง หมาน้อยเจอเธอทีไรเธอจะเล่าเรื่องต่างๆให้ฟังอย่างสนุกสนานทุกครั้งไป เธอไปต่อสู้กับเสื้อแดงทุกครั้ง แกนนำหลายคนรู้จักกับเธอดี แต่เธอไม่เคยไปเอาแกนนำไปแอบอ้างหาประโยชน์ที่ไหน เธอจะนั่งฟังปราศรัยในมุมเงียบๆ พร้อมรอยยิ้มและตีนตบ

หลังสงกรานต์เลือดผ่านไป เธอเศร้า และล้มป่วยกะทันหันด้วยโรคมะเร็งขั้นสุดท้ายโดยไม่ได้เตรียมใจ หมาน้อยได้ไปเยี่ยมเธอ เธอมีกำลังใจอย่างดีเยี่ยมจนคนไปเยี่ยมเธอกลับน้ำตาเอ่อล้นแทน

ในชีวิตของเธอนั้น บอกได้เลยว่าเธอรัก ท่านนายกรัฐมนตรีทักษิณที่สุด สิ่งที่เธออยากเห็นก่อนเธอจากโลกนี้คือการได้เห็นท่านทักษิณ กลับบ้าน หมาน้อยได้โอกาสสัมภาษณ์บันทึกภาพวิดิโอครั้งสุดท้ายเมื่อวันที่ ๒๔ กันยายน ๒๕๕๒ ณ โรงพยาบาลเลิดสิน เธอได้ฝากข้อความจากใจเธอไปยังท่านนายกฯ ทักษิณ ชินวัตร หมาน้อยได้มีโอกาสฝากต้นฉบับวิดิโอการสัมภาษณ์ครั้งสุดท้ายไปยังท่านนายกฯ ทักษิณ ชินวัตรแล้ว คาดว่าท่านทักษิณน่าจะได้ดูคลิปนี้ในวันที่หนังสือพิมพ์ฉบับนี้วางตลาด และในวันนี้ (วันจันทร์ที่ 16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552) ท่านนายกฯ ทักษิณ ชินวัตร ได้ให้ตัวแทนนำพวงหรีดของท่านทักษิณ มาเคารพศพ คุณจักรภพ เพ็ญแขได้ให้ตัวแทนนำพวงหรีด เคารพศพ และท่านได้กรุณาลงคำไว้อาลัยดังปรากฏไว้แล้ว หมาน้อยขอโอกาสนี้นำคำสัมภาษณ์ส่วนหนึ่งมาถ่ายทอดไว้ ณ ที่นี้เพื่อเป็นการไว้อาลัยเจ๊ขก เป็นครั้งสุดท้าย

“.......ชาตินี้ที่เจ๊ขกเกิดมา และชาวเสื้อแดง ไม่เสียชาติเกิดที่ได้พบปะสัมผัสและจับมือกับท่านทักษิณ เป็นสิ่งที่ทำให้เจ๊ขกปลื้ม (น้ำตาเริ่มไหล) ... และคิดถึงนายกทักษิณ และครอบครัว เจ๊ขกก็เคยสัมผัสรู้ว่านายกฯ เป็นคนยังไง สัมผัสด้วยมือรู้ว่ามือท่านนี้อบอุ่นและเป็นคนที่ใจดี ท่านเป็นคนที่ไม่มีอะไรที่จะทำร้าย ท่านมีแต่ความเมตตา มีแต่ความสงสาร อุดมการณ์ของท่าน เจ๊ขกรู้สึกได้ว่าท่านต้องการให้บ้านเมืองนี้มีความเจริญก้าวหน้า ประชาชนมีความรู้ทัดเทียมกัน ไม่มีใครด้อยไม่มีใครต่ำไม่มีใครขาว ไม่มีใครดำ ท่านอยากให้เสมอภาคกัน......”

ด้วยอาลัยรัก
หมาน้อยประชาธิปไตย

เราทำตามสัญญาแล้ว



กว่าสองเดือนที่หมาน้อยขับรถราผ่านถนนเส้นต่างๆทั่วกรุงเทพมหานคร (ไม่นับต่างจังหวัด) ได้เห็นถึงป้ายแสดงผลงานของพรรคประชาธิปัตย์ ถือเป็นปรากฏการณ์ใหม่ครับ

หมาน้อยจำได้ว่าสมัยหมาน้อยวิ่งเล่นตามวัด หมาน้อยจะเห็นเข่งปุๆ ปะๆ กะมีหน้าแหลมๆผมสั้นๆ โลโก้ลุงจำลอง นั่นก็ยี่สิบกว่าปีแล้ว ลุงจะมาในโลโก้เสื้อม่อฮ่อม และเอาเข่งแม่ค้ามาพ่นสีเป็นการปฏิวัติสื่อการเลือกตั้งจริงๆ ในยุคแรกๆ หลังจากเป็นยุคใบปิดโฆษณาตามตึกต่างๆ หมาน้อยจำได้ว่า ยุคใบปลิวนั้นต้องเอามาทากาวแล้วอาศัยแปะตามกำแพงบ้านชาวบ้าน แกะก็ไม่ออก ไม่รู้ชาวบ้านด่าเอาบ้างหรือเปล่า

ในสมัยพรรคประชากรไทยสักหลังยุคลุงจำลอง น่าจะเป็นน้าสมัครของหมาน้อย ที่เอาสื่อมัลติมีเดีย(เรียกซะเท่) คือเทป... เทปจริงๆ เทปคลาสเซ็ท มาอัดเสียงปราศรัย แล้วแจกจ่ายไปยังทุกบ้าน ครัวเรือน ฟังไปซี๊ดไป เพราะน้าหมักสามารถพูดเรื่องยากให้ง่าย ทำได้หรือไม่ อีกเรื่อง หมาน้อยยังมีเทปหาเสียงของน้าหมักเก็บไว้อยู่ แต่ไม่มีเครื่องเล่นแล้ว พังหมด เพราะสมัยนี้ก้าวสู่ยุค ดีวีดีกันหมด

จากนั้นเข้าสู่ยุคไทยรักไทยที่เริ่มเอาป้ายฟิวเจอร์บอร์ด มาสกรีนลงตัวอักษรเขียนเน้นนโยบายที่ต้องการทำ สั้นๆ กระชับๆ เรียกเสียงฮือฮา เนื่องด้วยทุกพรรคในสมัยนั้น ทำป้ายหาเสียงด้วยการพิมพ์ลงบนกระดาษแข็ง เอาก้านไม้ไผ่เสียบติดไว้กับเสาไฟฟ้าบ้าง ต้นไม้บ้าง และเลือกหน้าตาผู้สมัคร โบ๊ะแป้งหน้าสามนิ้วมาลงพิมพ์ หล่อเกินตัวสวยเกินวัยมาลง จนเวลา ผู้สมัคร ส.ส.มาหาเสียง ยังจำไม่ได้ว่าคนเดียวกันหรือเปล่า ทุกพรรคขายหน้าตา แต่พรรคไทยรักไทยนั้น ขายมันสมอง

ต่อมาการพิมพ์ก้าวหน้าอีกนิด เริ่มพิมพ์ภาพลงไวนิลได้ คราวนี้แหละ ภาพหัวหน้าพรรคกับภาพผู้สมัครมากันเป็นแพคเก็จ คราวนี้แหละ จะเอาขนาดใหญ่ขนาดใหน สีสันสดสวยยังไง ทำได้หมด จะใส่นโยบาย จะชมใคร จะกัดใคร ได้หมด ใส่กันเต็มบ้านเต็มเมืองจนเกิดคดีรถชนกันเพราะป้ายโฆษณาหาเสียงบังทางจราจรจนมองไม่เห็นกัน

ยุคปีนี้ เป็นยุคที่ป้ายเฟื่องฟูสุดขีด เพราะนอกจากจะเห็นการติดป้ายตอนสมัครรับเลือกตั้ง ปรากฏว่า กลับเห็นป้ายโฆษณาผลงาน ที่ไม่แน่ใจว่าเป็นผลงานของตัวเองหรือของคนอื่น เท่านั้นยังไม่พอ ยังออกโฆษณาเป็นซีรี่ หรือ เวอชั่น ผลัดเปลี่ยนรายละเอียดไปตามที่ต้องการ ได้ล้างสมองกันทั้งวัน ยังไม่เท่าไร พรรคประชาธิปัตย์ยังก้าวล้ำนำหน้าเพื่อไทยไปอีกขั้น โดยการเอางบรัฐ มาลงโฆษณาตัวเอง ทุกสถานนีโทรทัศน์ เกือบทุกรายการ ลามไปทุกหนังสือพิมพ์ทุกฉบับถี่ยิบ ล่าสุดลามมาถึงรายการวิทยุ คลื่นกรมประชาสัมพันธ์บ้าง คลื่นทหารบ้าง(อ้อ เสียงป๋าคราง เอ้ย ครวญเพลงรักชาติ ก็มีน่ะ ฟังดีๆ) นี่ที่สุด ลามมาเบียดเอารายการวิทยุของวัยรุ่นเข้าให้แล้ว

หากโฆษณาแล้วพอพูดความจริงก็ยังพอทนรับฟังกันได้ แต่นี่พูดตอแหลเอาดีเข้าตัวเอาชั่วใส่คนอื่นกันทุกช่อง หมาน้อยเองยังรู้สึกเลยว่า “ เอียนแทบอ๊วก” กันอยู่ แต่นี่ยังเอานักจัดรายการวิทยุประเภท พูดน้ำไหลไฟดับสามชั่วโมงได้ มาพูดโฆษณาเชียร์คุณอภิสิทธิ์กันออกหน้าออกตาสารพัดจะทำ

แล้วท่านสังเกตอะไรไหม ช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา พอขับรถผ่านป้ายโฆษณาตอแหลของพรรคนี้ จะเห็นว่ามีสีสเปรย์พ่นประมาณว่า “กู้หนี้มา ภูมิใจนักเหรอ” หรือ “กู้มาโกง” แถมคัทเตอร์กรีดซะ หมาน้อยไม่ได้นิยมชมชอบการกระทำเช่นนี้หรอก แต่ก็พอสะท้อนถึงหัวอก หัวใจประชาชนเดินถนนได้ว่า เขารู้สึกกันจริงๆ อย่างไร

อะไรก็ตามที่ทำแต่พอดี คนก็จะพอเชื่อนะ แต่หากทำเกินพอดีเป็นโฆษณาล้างสมองกันแล้ว มันไม่ดีกับท่านแน่ๆ หมาน้อยเคยบ่นเสมอว่า คนชั่วกับคนหน้าด้าน คนหน้าด้านน่ากลัวที่สุด เพราะคนชั่ว อาจรู้ตัวว่าชั่วและสำนึกได้ในภายหลัง แต่คนหน้าด้าน จะด้านไปทุกเรื่อง ทำเลวได้ทุกเรื่อง โกหกตอแหลได้ทุกเรื่องโดยไม่รู้ตัวเลยด้วยซ้ำว่าตนเองตอแหล แถมแอบภูมิใจว่าตนเองเก่งมาก ที่ทุกคนฟังตนพูดแล้วเชื่อตาม

ไหนๆ ท่านก็โฆษณากรอกหัวตัวเองว่าท่านได้ทำตามสัญญาไว้แล้ว ผมก็จะเออออไปกับท่านว่า ท่านอภิสิทธิ์ได้ทำตามสัญญาแล้วจริงๆ ไม่เชื่อก็ให้อภิสิทธิ์ไปถามยายเนียมดูสิ?!?!

ไว้อาลัย สมัคร สุนทรเวช‏



ท่านผู้อ่านที่เคารพครับ

เราเพิ่งสูญเสีย เจ๊ขก สามัญชนคนเดินตลาดที่่รักในประชาธิปไตยสุดชีวิต ไม่กี่วันต่อมา
หมาน้อยก็ได้ทราบข่าวการถึงแก่อนิจกรรม ของท่าน อดีตนายกรัฐมนตรี สมัคร สุนทรเวช
ด้วยความเศร้าสลดจริงๆ


หมาน้อยทราบข่าวเพียงว่า ท่านเข้ารับการรักษาตัวจากอาการป่วยโรคมะเร็ง ตั้งแต่ช่วงก่อนปลายปี 2551 และท่านก็เงียบหายไปจากวงสังคม จนกระทั่งได้รับข่าวสลดใจเมื่อเวลา 9 นาฬิกาจากเพื่อนฝูงของวันที่ 24 พฤศจิกายน 52

ท่านเกิดเมื่อวันที 13 มิถุนายน 2478 เป็นบุตรของ เสวกเอก พระยาบำรุงราชบริพาน (เสมียน สุนทรเวช) และ คุณหญิงบำรุงราชบริพาน (อำพัน จิตรกร) เป็นหลานมหาเสวกตรีพระยาแพทย์พงศาวิสุทธาธิบดี (สุ่น สุนทรเวช) นายแพทย์ประจำพระองค์พระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว

จบการศึกษาจากคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

ท่านเริ่มลงเล่นการเมือง ตั้งแต่ปี 2511 และเป็น สมาชิกสภาเทศบาลกรุงเทพมหานครเมื่อปี 14 จนได้ดำรงตำแหน่งสำคัญหลายๆตำแหน่ง ตั้งแต่รัฐมนตรีช่วยว่าการ จนรองนายกรัฐมนตรีในสมัยของรัฐบาลท่านจิ๋ซ ท่านบรรหาร จากนั้นท่านก็ลงสมัครผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครจนได้รับคะแนนสูงสุดใน ประวัติศาสตร์ จากนั้น ท่านก็สมัคร ส.ว. คงคิดว่าเป็นเวทีสุดท้ัาย ที่สุดโดนรัฐประหารไปเสียก่อน

เมื่อวิกฤตการเมืองปี 2550 ท่านกระโดดเข้ามารับถือธงนำพรรคพลังประชาชนลงเลือกตั้งจนชนะการเลือก ตั้งเป็นพรรคลำดับ 1 และดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของประเทศไทย และเป็นคณะรัฐมนตรีคณะที่ 57 เมื่อวันที่ 29 มกราคม 2551
ที่ตลกที่สุดในชีวิตท่าน คงเป็นการอ่านคำตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญ ที่ตัดสินให้ท่านพ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีด้วยไปทำกับข้าวออกรายการ โทรทัศน์ ชิมไปบ่นไป และ ยนโขยง 6 โมงเช้า (เอ๊ะ นายกอภิสิทธิ์ ไปออกรายการทีวีสารพัดช่อง สารพัดรายการ ขัดไหม) เมื่อประมาณ กันยายนในปีเดียวกัน

ท่านมีผลงานมากมาย และเป็นนายกที่มีความติดดินมากท่านหนึ่ง ท่านเดินตลาดจ่ายกับข้าวได้ ออกทีวีพูดภาษาไทยสมัยพ่อขุนได้อย่างไม่ดัดจริตขัดเขิน และเป็นไม้เบื่อไม้เมากับสื่อมวลชนิดที่โดนด่าได้ทุกดอกทุกวัน ท่านได้รับพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์สูงสุดที่ ทุติยจุลจอมเกล้าวิเศษ เมื่อปี 2545 และเป็นคอลัมน์นิส ให้กับหนังสือพิมพ์ประชาไทย สยามรัฐสัปดาห์วิจารณ์ รวมทั้งดำเนินรายการวิทยุและโทรทัศน์แบบไม่มีสคริป แถมหอบครก สาก หมู กระเทียม มีด เขียง มาวางบนเวทีห้องส่งแบบไม่ขัดเขิน

ด้วยการต่อสู้ทางการเมืองที่รุนแรง แล้วท่านก็เป็นเหยื่อคนหนึ่งบนเวทีด้วย ท่านไม่เคยรำพึงรำพันใดๆ เมื่อท่านพ้นจากตำแหน่ง ท่านก็ไปเงียบๆ และใช้ชีวิตอย่างสงบเฉกเช่นคนสามัญ แต่ก็ไม่วายไม่พ้นคนจัญไรไปถือป้ายตามยกด่าถึงสนามบินที่อเมริกา ทั้งที่ท่านบินไปสองคนสามีภรรยาเพื่อพบแพทย์รักษาตัว มันทำกันได้ลงคอ

หมาน้อยจำได้เสมอถึง อมตะวาจาที่ท่านทิ้งท้ายไว้ก่อนลงจากตำแหน่งไว้ว่า "ความกลัวทำให้เสื่อม" หมาน้อยชักเริ่มเห็นความเสื่อมชัดเจนมากขึ้นแล้วครับ

อาศิรวาท‏

ฉลอง เฉลิมพระราชสมภพ ฟุ้งขจร สกล
พระชนมายุ ล้ำภูวดล สุดฟ้า
ครบ พละพูนผล ประเสริฐ
แปดสิบสอง ฉนำวสา อุ่นใน หทัยราษฏร์

พรรษา ผ่าน ธ ทรงสร้าง บำเพ็ญ
ไทยเรดนิวส์ ประจักษ์เห็น ทั่วหล้า
น้อมเกล้า ชีพถวายเป็น ราชพลี ธ เอย
ถวายพร พระผู้สร้าง เจริญยิ่ง ยืนนาน

ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อม ขอเดชะ
ข้าพระพุทธเจ้า หนังสือพิมพ์ไทยเรดนิวส์
(เจเจ_สาทร หมาน้อยประชาธิปไตย ประพันธ์)

จดหมายถึงตำรวจ (โดยเฉพาะ)


มันพุ่งจี๊ดเข้าไปในความรู้สึกหมาน้อยเลยครับ เมื่อรู้ข่าวว่า พล.ต.ท.สัณฐาน ชยนนท์ รักษาการแทนผู้บัญชาการตำรวจนครบาล (ผบ.ชน.) ได้สั่งการให้ ผู้บังคับการตรวจนครบาล 1 และคณะทำงานสอบสวนนครบาลรวบรวมพยานหลักฐานดำเนินคดีกับกลุ่มผู้ชุมนุมเสื้อ แดงทั้งหมด ที่เข้ามาก่อความไม่สงบเรียบร้อยสร้างความเดือดร้อนรำคาญส่งเสียงเอะอะ โวยวายตะโกนโห่ร้องขับไล่แกนนำพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) ขณะร่วมพิธีรดน้ำศพนายสมัคร สุนทรเวช อดีตนายกรัฐมนตรี ที่ศาลาบัณณรศภาค ภายในวัดเบญจมบพิตรดุสิตวนาราม เมื่อบ่ายวันที่ 25 พ.ย.ก่อนที่จะมีขบวนเสด็จฯ โดยคณะของพรรค ปชป.ประกอบด้วย นายสุเทพ เทือกสุบรรณ นายบัญญัติ บรรทัดฐาน นายโกวิท ธารานา นายเทพไท เสนพงศ์ รวมทั้ง ส.ส.จำนวนหนึ่ง

ท่านครับ จะขำก็ขำ จะสงสารก็สงสาร จะสมเพชก็เหลือทนกับตำรวจยุคนี้ ภาพนี้ก็ฟ้องอยู่ว่าคณะของท่าน สส.ปชป. เดินไปมาในวัดอย่างปลอดภัยไร้กังวล ไม่มีใครไปตีหัวท่านแตกสักคน

ท่านครับ หมาน้อยอยู่ในเหตุการณ์วันนั้นพอดี หากจะเข้าใจจิตวิทยากันบ้าง เสื้อแดงสูญเสียคนที่เขารัก คนที่่จากไปไม่ได้รับความยุติธรรมเลยจากบ้านเมืองนี้ทั้งที่เป็นบุคคลที่ทำ งานให้ชาติบ้านเมือง มีความจงรักภักดีตราบจนวาระสุดท้ายของชีวิต แต่มาโดนทำร้ายอย่างไร้จริยธรรมทางการเมืองตกเก้าอี้นายกฯ เพราะเข้าครัวทำกับข้าว เขาเจ็บใจ และเสียใจครับ

ผมไม่ได้บอกว่าเสื้อแดงทำเหมาะสมหรือถูกต้องในวันนั้น แต่ด้วยอารมณ์ที่เกิดก็พอจะเข้าใจ และก็ไม่ได้ทำอะไรรุนแรงขนาดนั้น แค่โห่ไล่สองสามที ยกตืนตบขึ้นหน่อยถึงขั้นต้องออกหมายจับกันเลยเหรอครับ

พอโห่ไล่เสร็จก็กลับมาสู่ความสงบ ก่อนเวลาเสด็จพระราชดำเนินฯ ตั้งเป็นชั่วโมง เหล่าเสื้อแดงก็เก็บอุปกรณ์ทุกอย่างนั่งพับเพียบลงกลางแดดจ้า รอกว่าชั่วโมงเพื่อเฝ้าชมพระบารมีสมเด็จพระบรมฯ หากเรื่องนี้จะกลายเป็นคดีได้เพราะเป็นการโห่ก่อนเวลาเสด็จฯ หมาน้อยก็ต้องถามกลับว่าเมื่องานศพน้องโบว์เสื้อเหลืองทั้งโห่ไล่ทั้งมือตบ ไล่ท่านอนุพงศ์ ยกมือตบโห่ฮาทั้งในขณะเวลาเสด็จและหลังเสด็จกลับด้วยนั้นเหมาะสมกระนั้นหรือ ครับ

ท่านตำรวจครับ ท่านใช้สมองส่วนใหนคิดครับ หมาน้อยงง กับตรรกความคิดของท่านจริงๆ

ศาลเชียงใหม่ก็เพิ่งมีคำสั่งยกคำร้อง กรณีเสื้อแดงเชียงใหม่51 ขู่ไล่มาร์ค แค่ขู่ไล่น่ะท่านยังไปขอออกหมายจับ โชคดีศาลไม่บ้าจี้ด้วย แต่ท่านตำรวจก็ยังโง่ตามแรงกดดันขอหมายจับใหม่อีกถึง 4 ครั้ง หากท่านเอาคดีโห่ สส. กลางงานศพนี้ขึ้นศาล หมาน้อยขอถามอย่างกลั้นใจจริงๆว่า เอาข้อหาอ่ะไรดีครับ

ท่านครับ ท่านตำรวจที่เคารพ รอบสัปดาห์ที่ผ่านมาท่านก้มหัวทำวีรกรรมแสนอัปยศที่ทำลายศักดิ์ศรีท่านเอง ไม่เหลือเลยจนเป็นข่าว อยู่ดีๆ ไปไล่จับคนขายประทัดแล้วมาประโคมข่าวออกใหญ่โตลงหนังสือพิมพ์ทุกฉบับ โทรทัศน์ทุกช่องว่าแดงเตรียมระเบิดปิงปอง 6000 ลูกไว้เตรียมถล่มมาร์ค แต่ไอ้ที่เอามาแถลงข่าว เป็นประทัดควันสีหมาน้อยจุดเล่นบ่อยๆ ตอนเด็ก แต่ท่านก็หน้าด้านไม่มียางอายแถลงข่าวว่าเป็นระเบิดปิงปอง ผมไม่อยากจะสมน้ำหน้าย้อนหลังหรอกที่โดนระเบิดปิงปองของจริงจากพันธมิตรซัด ให้ แล้วร้องครางเกือบตายแต่เอะอะโวยวายอ่ะไรไม่ได้ นอกจากไม่รักศักดิ์ศรีทวงความยุติธรรมให้ตนเอง ยังขายวิณญาณไปประโคมข่าวเท็จ ป้ายสีให้เสื้อแดง มิตรร่วมรบของท่าน ปากท่านแถลงข่าวเท็จ ใจท่านรู้สึกบ้างใหม หมาน้อยไม่อยากพูดเลย

หมาน้อยเองเป็นคนใส่เสื้อแดงให้ตำรวจปลายปีก่อนที่ข้างสภาฯ จนกระทั่งมาอยู่เชียร์ตำรวจใส่เสื้อแดงหลังทำเนียบ วันนี้ท่านเองนอกจากไม่รักตัวเอง ยังก้มหน้ารับใช้คนหน้าด้านอย่างอภิสิทธิ์ ชนิดไม่ละอายใจไม่ละอายต่อ "ข้อเท็จจริง" ในใจท่านเลย

หมาน้อยเสียใจครับ หมาน้อยรักตำรวจ แต่วันนี้ตำรวจทำลายความรักนั้นลงไปหมดแล้ว
ท่านตอบหมาน้อยฯ มาหน่อยสิครับว่าบ้านเมืองนี้มันเป็นอย่างนี้แล้วจริงๆ หมาน้อยจะได้รู้ไว้ว่า ปาไข่ก็ติดคุก ขู่จะกระทึบนายกฯก็ติดคุก พูดปกป้องสถาบันก็ติดคุก โห่ในงานศพก็ติดคุก แต่บรรดาท่านทั้งหลาย ปาปิงปองดันเป็นวีรบุรุษชาติรักสถาบัน จะคาร์บอมเผลอผิดคิวระเบิดตายเองก็เป็นวีรบุรุษจ๊าบๆ ยิงปืนหน้าวิภาวดีก็เป็นคนดีของชาติ พันธมิตรไปถือตีนตบโห่ไล่ท่านอนุพงศ์ ในงานพระราชทานเพลิงศพน้องโบว์ กลับกลายเป็นคนจงรักภักดี ยึดทำเนียบก็ปล่อยเขายึดไป ส่งมอบทำเนียบคืนก็รีบกราบตีนเขา ยึดสนามบินพอสนุกสนานเสร็จก็ตั้งโต๊ะ จัดพิธีส่งมอบคืน จนป่านนี้หมดอายุความไปแล้ว ตำรวจยังสอบสวนคดีความไม่เสร็จ

จะบอกว่าสงสารก็ใช่ สมน้ำหน้าก็ด้วย เพราะท่านไม่รักแม้กระทั่งศักดิ์ศรีตัวเองแล้วจะให้ใครไปรักท่านได้ละครับ คุณตำรวจ

แม่ กง. โกงกิน



เรื่องกินตัวแม่นี่ หมาน้อยก็เห็นเหมือนกับประชาชนไทยตอนนี้ว่า โกงตัวพ่อตัวแม่ขั้นเทพไม่ใช่ทักษิณ หรือเสื้อแดงที่ใหน แต่กลายเป็นประชาธิปัตย์ กับพรรคร่วมรัฐบาล ที่อยู่กันเพราะกินจริงๆ ต่อรองกันแบบโต้งไม่ต้องอาย ไม่ต้องกระมิดกระเมี้ยน โกงกันได้สารพัด มิน่าถึงคบกันได้อย่างสนิทใจตราบใดที่ยังขุดเอาผีทักษิณมาเป็นเหยื่อ

หมาน้อยจะพาไปชมมหกรรมการโกงขั้นสารเลว เรื่องโกงรถเมล์ โกงข้าวโพด หรืออ้างปราบเสื้อแดงเอางบลับน่ะ ชิดซ้ายเพราะโกงต่อไปนี้นี่ โกงเด็กโกงเงินการศึกษาชาติ

โรงเรียนในสังกัดกรุงเทพมหานครเขามีโกงใหม่มา หมาน้อยเห็นมาหลายเดือนแต่ไม่อยากพูดมาก่อนเพราะไม่อาจมีหลักฐานออกมาได้ นั่นคือ โกงซีดีการศึกษา

ท่านครับ ฝ่ายการศึกษา กทม ส่งซีดีการศึกษาไปให้โรงเรียนทุกโรงเรียนกว่าสี่ร้อยโรง ไม่รู้โคตรบิดามารดรซีดีอะไรแพงหูฉี่ขนาดนั้น
เอาแค่โรงเรียนเดียวก่อนน่ะ ซีดีการศึกษา ผลิตจัดทำกันแถวๆบางบัวทอง แยกเป็น ๘ สาระการเรียนรู้(วิชา) ต่อหนึ่งระดับชั้นการเรียน หากโรงเรียนมี ป.๑ ถึง ป.๖ ก็จะมี ๔๘ วิชา วิชาละ ๑ แผ่นซีดี ท่านรู้ใหม ซีดีแผ่นที่ว่า หมาน้อยกดกริ๊งงง โทรไปสอบถามราคาที่สำนักงานขายนี้ เขาขายกันแผ่นละ ๑๐๐ บาท หากซึ้อ ๖ แผ่นขึ้นไป เหลือแผ่นละ ๘๐ บาท ราคายังไม่ได้ต่อรอง

แต่ซีดีนี้พอมาส่งที่โรงเรียนของ กทม. กลายเป็นชุดละประมาณ ๑๕,๐๐๐ บาทต่อ ๔๘ แผ่น หรือราคาแผ่นละ ๓๑๒ บาทต่อแผ่น หนึ่งโรงเรียนจะได้ไปอย่างน้อย ๑๒ ชุด ก็เท่ากับหมื่นห้าคูณสิบสองชุดเท่ากับ หนึ่งแสนแปดหมื่นบาท แสนแปดหมื่นคูณสี่ร้อยโรงเรียนตัวเลขกลมๆ เท่ากับโกงกันไปเนาะๆ เจ็ดสิบสองล้านบาท แลกกับซีดีซังกะบ๊วยไม่กี่แผ่น


ท่านครับเนื้อหาเปิดมาไม่มีอะไร บวกเลข ตอบถูกได้คะแนน ตอบผิด จบ ไม่มีอะไรเลย มีแต่คำถามกับตอบ แถมพอทดลองเปิดที่โรงเรียนสถานที่ส่งมอบซีดี ปรากฏว่าไวรัสครับ ไวรัสจากแผ่นโผล่ลามเข้าเครื่องของธุรการโรงเรียนอีกต่างหาก

เจ้าหน้าที่ธุรการบอกหมาน้อยว่า ชินแล้ว เพราะสิ่งที่ควรให้มา ก็ไม่ให้เช่นตู้น้ำเย็น ตู้น้ำกรองสะอาดให้เด็กนักเรียนกลับไม่มีงบ งบซื้อหนังสือคู่มือเพิ่มเติมก็ยังไม่มีให้ แต่ดันเอางบร่วมร้อยล้านไปซื้อซีดีฯ มาแจกทิ้งไว้ตามโรงเรียน ทั้งที่หลายโรงเรียนยังไม่ค่อยมีคอมพิวเตอร์ให้เด็ก แถมเปิดเสร็จ ไวรัสกินหมดทั้งห้องคอมฯ ตามจ้างช่างมาล้างเครื่องกันไม่หวั่นไม่ไหว ตอนนี้ซีดีดังว่านี้ กองทิ้งไว้มุมห้องคอม

หากท่านจะถามหาใบเสร็จน่ะเหรอครับ ลืมเสียเถอะ ไม่มีผู้อำนวยการเขตหรือผู้อำนวยการโรงเรียนคนใหนอยากเดือดร้อนครับ เพราะเขาเป็นแค่ผู้รับของเท่านั้น แต่คนจ่ายเงิน รับเงินอยู่โน่นครับ เสาชิงช้า ไปตามเอาที่โน่นสิ

นี่แค่โกงระดับย่อมๆ แค่ระดับ สก. สข. ของพรรคแมลงสาปทำไว้เท่านั้น ยังสะใจซะขนาดนี้ แล้วจัดฉากบ้านเมืองให้เข้าขั้นวิกฤติเพื่อนั่งบริหารแล้วโกงกิน ยี่ห้อ ปชป.หรือ จะทำไม่ได้!!!

รัฐธรรมนูญไทย รัฐธรรมนูญใคร?



เมื่อ ๑๐ ธันวาคม ๒๔๗๕ พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว พระราชทานรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรสยามฉบับถาวร ฉบับแรก ณ พระที่นั่งพุดตานกาญจนสิงหาสน์ ผ่านมา ๗๗ ปี แต่ปรากฏแน่ชัดเหลือเกินว่าอำนาจการปกครองแผ่นดินไม่เคยตกลงมาถึงมือประชาชนอย่างแท้จริง

เราผ่านการปฏิวัติมาหลายครั้ง ร่างรัฐธรรมนูญใหม่ก็หลายหน

เราเลยรู้ซึ้งแล้วว่า รัฐธรรมนูญ จะเป็นของสูงหากเอามาอ้างเพื่อเข้าข้างตัวเองแล้วข่มถ่มผู้อื่น แต่รัฐธรรมนูญจะกลายเป็นเศษกระดาษเมื่อเจอปลายกระบอกปืน

หลังการปฏิวัติครั้งล่าสุด ซึ่งคิดว่าคงไม่ใช่ครั้งสุดท้าย คนไทยยังเพิกเฉยกับสิทธิ์ ของตนที่เสียไปจากการยึดอำนาจ คนไทยยังก้มหน้าแล้วบ่นพึมพัมว่า “เรื่องของผู้ใหญ่ในบ้านเมือง เด็กอย่างเราไม่เกี่ยว” ถามคำหนึ่งว่า ทุกวันนี้ใครเคารพและเชื่อถือรัฐธรรมนูญบ้าง ไม่มี ทหารล้มกระดานเสร็จก็สร้างรัฐธรรมนูญฉบับของตนเองแล้วหลอกคนไทยไปลงประชามติรับรอง แล้วก็เอารัฐธรรมนูญฉบับหน้าแหลมฟันดำมาทำเป็นสองมาตรฐานเล่นพรรคเล่นพวก รังแกประชาชน ทำทุกอย่างตามอำเภอใจไม่เห็นหัวชาวบ้าน ยังไม่นับกู้มาโกงสารพัดประดามี กู้มากินใช้ เอามาซื้อปืนยิงเจ้าของเงิน

เราเคยสอนให้เชื่อว่า การเลือกตั้งคือประชาธิปไตย เลือกเสร็จๆ แล้วก็จบกัน มันเลยโกงกันตั้งแต่ก่อนเข้าคูหายัดบัตรเลือกตั้ง เราเคยสอนให้เชื่อว่า ต้องเลือกคนดีเข้าสภาฯ อันนี้ก็เห็นด้วย แต่กลายเป็นคนดีต้องมียี่ห้อประชาธิปัติย์น่ะ ยี่ห้ออื่นไม่ได้ ดูง่ายๆ ยี้ห้อยแปะยี่ห้อวางขายข้างๆ ปชป.ยังดูดีขึ้นมาเลย

วันนี้มันชัดเจนมากว่า....
เสียงของประชาชน หกสิบกว่าล้านเสียง ยังสู้เสียงเดียวของอำมาตย์อย่างพลเอกเปรมไม่ได้
เสียงของประชาชน หกสิบกว่าล้านเสียง ยังสู้กระสุนจากปลายกระบอกปืนไม่ได้
เสียงของประชาชน หกสิบกว่าล้านเสียง ยังสู้รัฐบาลขี้โกงอย่างอภิสิทธิ์ไม่ได้ อย่าลืมสิว่ารัฐกู้ แต่ประชาชนชดใช้
เสียงของประชาชน หกสิบกว่าล้านเสียง ยังสู้วีรกรรมเนรคุณต่ำช้าของเนรวินไม่ได้ แค่เอาหัวโขนเป็นประธานจัดงานวันเฉลิมฯ มาครอบหัวไว้ก็ดูจงรักภักดีขึ้นทันหูทันตาเห็น

แม้กระทั่งเสื้อแดงจะจัดแสดงพลังถวายพระพรชัยมงคลแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในวันที่ ๑๐ ธันวาคมนี้ ก็ยังเริ่มมาตรการสร้างข่าว ปล่อยข่าวว่ารัฐบาลไม่สามารถดำเนินงานเฉลิมฉลองฯต่อไปได้ด้วยติดคิวเสื้อแดงชุมนุม ทั้งๆที่กำหนดการชุมนุมเสื้อแดงมีมาก่อนตั้งแต่ปลายเดือนที่แล้ว ยิ่งนานวันข่าวยิ่งมากขึ้นว่าจะสร้างสถานการณ์เอาต่างด้าวมาปะปนชุมนุมเผาภาพในหลวงเพื่อทำข่าวตีพิมพ์ไปทั่วโลก ทำไมพวกอำมาตย์มันสะกดคำว่าจริยธรรม ศีลธรรมไม่ออกหรือไง หมาน้อยเองไม่ได้เห็นด้วยกันไปเสียทุกอย่าง แต่ขอสนับสนุนอย่างจริงใจและจะไปร่วมชุมนุมแน่นอน แล้วรัฐบาลอย่าสร้างสถานการณ์เด็ดขาด

หากทำเมื่อไหร่ เสื้อแดงทั้งประเทศจะออกมาให้รัฐบาลได้เห็นดีกัน!!!

ซานตาครอส vs. ซาตานมาร์ค


จิง กระเบล จิงกระเบล จิงเกิ้ลออนเดอะเวร์.... แหม หมาน้อยหอนเพลินไปหน่อย เพราะเข้าช่วงเทศกาลสุขสันต์ของคนทั่วโลก รวมทั้งประเทศไทย ทำให้หมาน้อยนึกถึง คุณลุงซานตาด้วยความคิดถึงตระหงิดๆๆ เพราะลุงซานต้าใส่ชุดสีแดง มีหนวดขาว นั่งรถคาร์ทเทียมกวางเรนเดีย ไปหย่อนของขวัญวันคริสมาส ให้เด็กๆ ในปล่องไฟตามบ้าน

หมาน้อยก็ดีใจที่เมืองไทยก็มีซานตากับเขาเหมือนกัน แต่บ้านเราเรียกว่า “ซาตานมาร์ค”

ลุงซานต้า ใส่ชุดอ้วนท้วนสีแดง ซาตานมาร์ค ผอมซูบใส่ชุดหลากสีเหลือเกิน ตัวฟ้า รัศมีเรือง มีสีเขียวเป็นออร่า
ลุงซานต้า นั่งรถเกวียนเทียมกวางสี่ตัว ซานตามาร์ค นั่งรถเมล์ก๊าซ เอ็นจีวี เทียมเนรวินพร้อมพรรคพวกสี่พรรค
ลุงซานต้า ซื้อของขวัญแจกเด็กๆ ซานตามาร์ค กู้เงินชาวบ้านมาแจกเป็นของขวัญให้ผู้ใหญ่
ลุงซานต้า ไปคนเดียวยิ้มแย้มเยี่ยมเยียนชาวบ้านในเทศกาลแห่งความสุข ซานต้ามาร์ค ใช้กำลังนับหมื่นคุ้มกันเพื่อพบปะชาวบ้านบนความทุกข์ของชาวบ้าน

ทำไม ลุงซานต้า กับ ซานตามาร์ค ถึงได้ต่างกันราวฟ้ากับเหว?

คนไทยมีนิสัยยิ้มแย้มต้อนรับผู้หลักผู้ใหญ่ด้วยดี ไม่ว่าจะนิยมหรือไม่ก็จะต้อนรับด้วยเป็นผู้ใหญ่ของบ้านเมือง นับลงมาแต่ท่านนายกฯ ชาติชาย ท่านเปลี่ยนสนามรบ เป็นสนามการค้า ผลักดันจนจีดีพีประเทศไทยเติบโตร่วมสิบเปอร์เซนต์ จนท่านกลายเป็นซาตาครอสของลุ่มแม่น้ำโขง ทำจนประเทศลาว กัมพูชา และเวียดนามเริ่มลืมตาอ้าปากได้แล้วร่วมทำมาหากินกับประเทศไทย เดินตามหลังไทยเป็นพี่ใหญ่

ถัดมาท่านชวน แม้จะเชื่องช้า แต่ลูกน้องท่านกินเร็ว กิน สปก.คาปากยังหลีกภัยได้ แต่นับถือที่ท่านไม่เคยทำลายนิติรัฐของประเทศเลย ท่านยอมถอยเมื่อคะแนนน้อยกว่าท่านบรรหาร ด้วยความเป็นสุภาพบุรุษ ความเชื่องช้าท่านก็ไม่เคยทำลายชาติก็ยังพอนับถือท่านได้

ท่านจิ๋ว ท่านบรรหาร แน่นอนท่านมาตอนชาติต้องการผู้นำเก่งเศรษฐกิจ ท่านไม่ได้มาเป็นซานต้าแจกของขวัญ แต่ท่านก็ทำให้เรารู้ว่า เรายังรักษาระบบไว้ได้ เมื่อถึงทางตันท่านก็ลาออกหรือยุบสภา เพื่อให้กลไกต่างๆ เดินต่อไป ท่านไม่แหกโค้งขอ นายกฯ มาตราเจ็ด ไม่ปลุกผีม็อบ ท่านสวมหัวใจนักสู้ลงสนามเลือกตั้งแม้จะพ่ายแพ้ แต่ก็สู้สมชายชาตินักรบเลือกตั้ง ไม่หนีบอยคอตการเลือกตั้ง

จุดเด่นของท่านนายกฯ ทุกท่าน รัฐบาลทุกรัฐบาล ได้ถูกทำลายลงในทุกด้านโดยนายกฯ ซาตานมาร์ค
การค้าชายแดน โดยท่านชาติชาย ถูกซาตานมาร์ค ทำลายการค้าแทบจบเห่
การสัมพันธ์ระหว่างประเทศยุค”กุ้ยมีเส้น” รบไปสิบทิศจนข้ามไปรบกับนักค้าอาวุธข้าวชาติ
การเศรษฐกิจจะอ้างว่าโลกเขาแย่ ก็ไม่ใช่เต็มปาก เพราะรอบบ้านเราเขาจีดีพีไม่ได้ติดลบหนักเหมือนบ้านเรา เขายังเติบโตเราติดลบคนเดียว
การคลัง เราเคยมีเงินเก็บเหลือจนใช้หนี้ได้หมด ตอนนี้ผลาญแจกฟรีไร้สาระแก่นสาร

โครงการกู้มาโกง ชัดเจนจนคนไทยเองยังส่ายหัวว่า “เทพประทาน” ก็ไม่ได้ดีเลิศเลอไปกว่าคนเดินดินกินข้าวแกง
มาบตาบุด กำลังทำเศรษฐกิจไทยล่มจม ซาตานมาร์คไม่รู้สึกรู้สาอะไรเลย

ซานตามาร์คครับ คนไทยให้โอกาส หมาน้อยให้โอกาส นี่หนึ่งปีกับความล้มเหลวในทุกด้านยังไม่นับสามปีที่ล่มสลาย ไทยไม่ใช่ล้าหลังสี่ปี แต่ล้าหลังไปแล้วร่วมจะสิบปี

ซาตานมาร์คครับ ความสามารถอย่างคุณไม่ใช่จะมาเป็นนายกฯ เมืองไทย แค่เป็นเซลล์แมน หมาน้อยก็ยังไล่คุณออกเลย เพราะหมาน้อยจ้างคุณมาขายของไม่ใด้จ้างคุณมาด่าเจ้าของบ้าน

คุณลุงซานตาครอสครับ หย่อน “ประชาธิปไตย” เป็นของขวัญให้คนไทยหน่อยได้ไหมครับ

ที่สุดแห่งปี "เนรวิน ชิดชอบ"




หมาน้อยคิดหาสารพัดเหตุผลมารองรับความรู้สึกในหัว ว่าทำไมเวลานึกถึงบุคคลแห่งปีของหมาน้อย หมาน้อยกลับนึกไปถึงเนวิน ชิดชอบ

ที่สุดแห่งปีของหมาน้อยไม่ใช่ต้องเป็นพระเอกคนดีถือศีลฟังธรรม ไม่ใช่ต้องเลวขนาดนรกไม่รับ แต่ที่สุดของทุกบทบาทที่กระทำ ตีบทได้แตกกระจายได้ทุกลีลา หันซ้ายหน้าพระ หันขวาหน้ามาร ตรงกลางหน้า...(เติมเอง)

คนที่ตีบทแตกได้สนุกสนาน และเก่งที่สุดไม่พ้น “เนวิน ชิดชอบ”

เขาชื่อเล่นว่า “เป็ด” แต่ชื่อฉายาที่คนรู้จักกันดีคือ “ยี้ห้อย ร้อยยี่สิบ” จากกรณีถูกจับเงินซื้อเสียงเลือกตั้งที่บุรีรัมย์ ยังไม่นับสารพัดฉายาอย่าง “ชื่อพม่า หน้าลาว เว้าเขมร”

ในวันที่เนวินรักท่านทักษิณ “ยี้ห้อย” คือคนจัดสารพัดเรียลลิตี้ลงพื้นที่ให้จนกระหึ่มวงการ
ในวันที่ท่านทักษิณ สละไม่รับตำแหน่งนายกฯ “ยี้ห้อยแย่งซีนคุณหญิง โอบกอดรัดฟัดเหวี่ยงท่านทักษิณต่อหน้ากล้องทีวีพร้อมน้ำตาร่วงพรู
ในวันที่เนวินโดนปฏิวัติตามล่าตัว “ยี้ห้อย” แสดงบทเปรตได้เนียนๆ ว่าโดนทหารแก้ผ้าเรียกคะแนนสงสาร
ในวันที่เนวินเปลี่ยนข้างย้ายขั้ว “ยี้ห้อย” แสดงภาพถือแจกันดอกกุหลาบนอก กอดรัดฟัดเหวี่ยงกับอภิสิทธิ์รับร่วมวง ครม.
ในวันที่เนวินโดนกล่าวหาว่า “เนรคุณ” “ยี้ห้อย” ก็ออกมาแถลงข่าวทั้งน้ำตาบอกว่า “จบแล้วครับนาย” พร้อมยืดอกปกป้องสถาบันสุดชีวิต หากใครจะทำลาย ข้ามศพเนวินก่อน
ในวันก่อนประชุมอาเซี่ยนที่พัทยา “ยี้ห้อย” ก็ไปบัญชาการรบสร้างทีมเสื้อน้ำเงินออกมาตีต่อยเสื้อแดงที่พัทยาจนเหตุการณ์ลุกลาม ไม่มีสุนัขตัวใหนพูดถึงเสื้อน้ำเงินสักคำ

ในวันที่แดงโดนล้อมปราบ “ยี้ห้อย” จัดรถถังแก๊ส จัดรถเมลล์มาเผา มาคอยดูแลล้อมกรอบสร้างสถานการณ์ทั้งด่านดินแดง ด่านนางเลิ้ง ภาพข่าวฟ้องตลอด

ในวันฉัตรมงคล ผุดเกมส์เฉลิมฉลองแบบไม่มีปี่ขลุ่ย “หยุดทำร้ายประเทศไทย” ก็ออกมาพร้อมกับลีลาจัดคนมาฟังคอนเสิร์ทบนราชดำเนิน

ในวันเลือกตั้งซ่อมในภาคอิสาน “ยี้ห้อย” ก็สั่ง รมต.มหาดไทย ไปดำนาถอยหลัง กำกับกันทุกฉากเป็นเรียลลิตี้ย้อนความหลังกัน
ในวันเฉลิมพระชนพรรษา เป็นประธานจัดงานตลอดถนน โดยโฆษณาหราหลังการแสดงเสร็จว่า เป็นผลงานพรรคภูมิใจไทย และให้ทุกคนโห่ร้องขอบคุณ “เนวิน” ซึ่งเป็นผู้จัดงานนี้ให้

ท้ายสุด “จตุรมิตรสัมพันธ์” ก็ยังไม่วาย “ยี้ห้อย” ลากการเมืองเข้าโรงเรียนให้ทำแปรอักษรด่าทักษิณ ด่าเสื้อแดง ทำให้เห็นว่าเด็กโรงเรียนสวนกุหลาบที่เชื่อว่าฉลาดที่สุดในประเทศยังเกลียดทักษิณ ซึ่งหมาน้อยขอประนามส่วนตัวว่า “เลวมาก” สิ้นคิดทั้งครูอาจารย์ ทั้งเนวิน สงสารก็แต่เด็กๆ ที่โดนบังคับแปรอักษรเช่นนั้น

ดังนั้น ไม่ว่าจะฉากหัวเราะหรือร้องไห้ จะสนุกสนานหรือตึงเครียดในสถานการณ์การเมืองอย่างไร ในตลอดปี ๒๕๕๒ คงปฏิเสธไม่ได้ว่า ทุกเหตุการณ์ที่เอ่ยมา ไม่ใช่เหตุการณ์บังเอิญ แต่เป็นจงใจล้วนๆ และเป็นการจงใจจากฝีมือการคิดและกำกับการแสดงโดยเนวิน ชิดชอบทุกฉาก หมาน้อยจึงขอยกให้เนวิน ชิดชอบ เป็นที่สุดแห่งหมาน้อยในปี ๒๕๕๒

ลูกจีนรักชาติ?


หมาน้อยทนความงี่เง่าของอภิสิทธิ์ไม่ได้ หอบกระเป๋าไปจีนเพื่อไปดูงานตามประสาหมาน้อยตะลอนทัวร์ หมาน้อยก็คิดไปว่า มาทัวร์หนีเมืองไทยแล้วคงจะอยู่อย่างสงบสุขได้เสียที ผิดคาดครับท่านผู้อ่าน

หมาน้อยคิดผิดจริงๆ เพราะหมาน้อยมาทัวร์จีนกับเพื่อนร่วมขบวน อาแปะ อากง อาเฮียจากย่านเยาวราช อาเฮียทั้งหลายท่านเหลืองอ๋อยเท่านั้นยังไม่พอ ท่านยังหอบเอาสารพัดมือตบ ผ้าพันคอสารพัดเวอชั่นมาอวดประชันกัน แถมเวลานั่งในรถทัวร์ จะมีเสียงแมสเซสข้อความ เอสเอ็มเอส เข้ามือถืออาแปะ เป็นระยะจาก เอเอสทีวี ให้อาแปะอาซ้อเสพข่าวสารกันข้ามประเทศเลยทีเดียว ท่านคงหัวเราะขำชะตากรรมหมาน้อย แต่หมาน้อยอยากร้องไห้ เพราะในวงสนทนาบนรถทั่วร์ หนีไม่พ้นเรื่อง ความเลวของทักษิณ ทุกคนก็ต่างขุดคุ้ยโพนทนาความเลวอย่างโน้น ความหน้าด้าน โกงชาติ โกงแผ่นดิน เลวสารพัด หมิ่นสถาบัน ล้มล้างสถาบันซึ่งลูกจีนกู้ชาติเยาวราชรับไม่ได้

ท่านเอ๋ย หมาน้อยอยากห้อยหางผูกคอตายจริงๆ สถานการณ์ในไทยเป็นอย่างไร อย่าว่าคนต่างชาติเลยจะงง คนไทยเองยังสับสนเลย ท่านผู้อ่านต้องเข้าใจก่อนว่าคนจีนจะรู้จัก ท่านทักษิณ ชินวัตรเป็นอย่างดีเพราะมีชื่อเสียงและเป็นไอดอลที่ดีมากของเมืองจีน ไกร์ทัวร์ หรือนักธุรกิจจะเอ่ยชื่อและกล่าวถามถึงด้วยความชื่นชมในความสามารถ แต่อาแปะจากเมืองไทยก็จะไปเล่าให้แขกร่วมวงโต๊ะกินข้าวฟังในมิติของตน ก็จะด่าบริพาสท่านทักษิณไปให้ชาวจีนเหล่านั้นฟังสารพัด โดยไม่ดูสีหน้าเขาเลยว่าอีหลักอีเหลื่อจนอยากลุกจากโต๊ะกินข้าวกัน แถมสำทับอีกด้วยว่า ตนน่ะ “ลูกจีนกู้ชาติ” ท่านก็คิดแล้วกันว่าต้องกินข้าวกันไปตั้งแต่วันแรกถึงวันสุดท้าย หมาน้อยสังเกตเห็นเพื่อนร่วมวงก็เกิดการแยกฝั่งขึ้นมาอัตโนมัติ แดงไปโต๊ะ เหลืองไปโต๊ะ มันแตกแยกลามไปถึงเมืองจีนเพราะเหลืองไม่รู้จักกาละเทศะ ว่านี่ทัวร์ดูงาน ไม่ใช่ทัวร์เอเอสทีวี

หมาน้อยได้มีโอกาสนั่งคุยกับคนจีนหลายคน คนๆ หนึ่งชื่อ นายหวง อยู่มณฑลกวางเจา หมาน้อยนั่งคุยกับเขาในร้านติมซำในตลาดเช้าแห่งหนึ่ง เขาเล่าว่า ในเมืองจีนนั้น ข่าวสารท่านทักษิณตั้งแต่ถูกรัฐประหาร สร้างความตกใจให้กับคนจีนมาก และหลังจากนั้น คนจีนก็อยากให้ท่านทักษิณไปอยู่ในจีน แต่ทางรัฐบาลจีนก็ต้องเกรงใจ และระมัดระวังความสัมพันธ์ทางการทูตกับประเทศไทยไว้ด้วย คนจีนเล่าว่า รัฐบาลเขาก็มีบ้านไว้รับรองท่านหากท่านมาเยี่ยมเยียน และท่านก็เคยมาจีนบ้างในช่วงแรกๆ แต่หลังจากรัฐบาลไทยที่มีนายกฯ ชื่ออภิสิทธิ์ ก็ส่ง รตม.พันธมิตรไปคอยกดดัน เขาก็คงรำคาญ ท่านทักษิณเองก็เลยไม่ได้เข้าไปที่แผ่นดินใหญ่อีก แต่อาจไปแวะฮ่องกงบ้างตามแต่ธุระของท่าน

หลังจากท่านไปอยู่ดูไบ ข่าวสารท่านทักษิณ และเสื้อแดงจากเมืองไทยนั้น โทรทัศน์ในจีนจะมีรายงานไม่ขาด จนล่าสุดการชุมนุมเมษายน และเมื่อพฤศจิกายนที่อนุสาวรีประชาธิปไตย หนังสือกี่เล่มเกี่ยวกับท่านทักษิณ นายหวงมีเกือบหมด ทั้งเวอชั่นภาษาจีนและภาษาอังกฤษ ท่านทักษิณมีญาติพี่น้องเป็นใคร เขารู้จักไล่ไปถึงว่า ท่านนายกฯ สมชายเป็นน้องเขยของท่านทักษิณ เป็นปลัดกระทรวงยุติธรรมมาก่อน น้องสาวชื่อยิ่งลักษณ์ ทำงานให้ธุรกิจครอบครัว รู้ไปจนถึงว่าใครอยู่เบื้องหลังกลลวงทั้งหมดบนกระดานการเมืองนี้ (เซ็นเซอร์) อิอิ

นายหวงบอกว่า รัฐบาลจีน และนักธุรกิจต่างนับถือ และแปลกใจในผลงานของท่านทักษิณมาก ที่ผลักดันประเทศไทยจากประเทศที่เป็นหนี้ เป็นลูกหนี้ จนใช้หนี้และเป็นเจ้าหนี้ภายในระยะเวลาสั้นๆ และยังเปิดตลาดการค้าขายกับจีน ผลักดันจีดีพีเติบโตมากกว่าหกสิบเปอร์เซน ในระยะเวลาห้าปีที่ดำรงตำแหน่ง นายหวงบอกว่า หากท่านทักษิณมาอยู่หรืออยากมาเป็นคนสัญชาติจีน คนจีนต้องต้อนรับท่านทักษิณอย่างดีแน่นอน ในเมืองจีนนั้น มีคนไทยเพียงสองท่านเท่านั้นที่ได้รับการยกย่องจากคนจีน พระองค์แรกคือสมเด็จพระเทพฯรัตนราชสุดา สยามบรมราชกุมารี ส่วนคนที่สองคือ ท่านทักษิณ คนอื่นเหรอ คนจีนไม่ได้รู้จักและไม่ได้อยากรู้จัก แม้กระทั่งเครือเจริญโภคภัณฑ์ เพราะซีพี ต่อให้ใหญ่ก็ไม่ได้ใหญ่ไปกว่าบริษัทอื่นที่เขามีกันในประเทศ นายหวงได้สอบถามสถานการณ์บ้านเมืองว่าจะดำเนินต่อไปอย่างไร ทั้งในปัจจุบัน และอนาคต รวมทั้งเรื่องละเอียดอ่อนหลายเรื่อง หมาน้อยฯ ก็ตอบเขาไม่ได้เหมือนกันว่าที่สุดแล้ว เรื่องทั้งหมดจะลงเอยอย่างไร เพราะมันเป็น “หลายเรื่องเดียวกัน”

ฝ่ายหนึ่งมักบอกว่ากรรมของชาติที่มีทักษิณ อีกฝ่ายก็บอกว่าเป็นกรรมของชาติที่มีสนธิ แต่สำหรับหมาน้อยฯ เป็นกรรมของหมาน้อยที่ไปทัวร์จีนกับอาแปะเยาวราช

อย่างหนาตราบิ๊กแอ๊ด




บรรดาผู้หลักผู้ใหญ่ในบ้านเมืองของเรานี้นิสัยดี มีความกตัญญู ไม่ว่าจะอยู่ในตำแหน่งแห่งหนใดก็ไม่ลืมถิ่นกำเนิดหรือผู้มีพระคุณ ดูอย่างหนูมาร์คนั่นกระไร ได้ยายเนียมเป็นกำลังใจแก่ชีวิตในการทำงานการเมือง เอาแหวนยายเนียมเป็นที่พึ่ง สวดภาวนาทุกวันจนได้เป็นนายกรัฐมนตรีของไทย

ล่าสุดก็ไม่วายซาบซึ้งใจเมื่อ พณฯท่าน พลเอกสุรยุทธิ์ จุลานนท์ องคมนตรี มีความรักและห่วงใยในผืนป่าธรรมชาติ ถึงขนาดยอมลงทุนซื้อผืนป่ากลางเขายายเที่ยง เป็นผืนป่าไม่มีโฉนดเพื่อเข้าไปพัฒนา และพักอาศัยบ้างเป็นครั้งคราว

คนเสื้อแดงอย่างเราหากฟังโดยไม่ใช้สติปัญญา หรือใช้สติปัญญาจำกัดเพียงแค่ที่ผู้ใหญ่ทั้งหลายป้อนให้รู้ ก็คงจะโง่ไปจนตายกันไปข้างหนึ่งว่าผู้ใหญ่เมืองไทยมีจริยธรรมสูงส่ง

จวบจนกระทั่งเวลาปิดต้นฉบับ กรณีบุกรุกป่าสงวนของพลเอกสุรยุทธ์ จุลานนท์ ยังเป็นประเด็นร้อนซึ่งทุกคนรอให้พลเอกสุรยุทธ์ออกมาชี้แจงแถลงไข ท่านออกมาจริงๆ แต่ท่านออกมาแถลงข่าวงานมหกรรมดนตรีเพื่อธรรมชาติ เมื่อบ่ายวันที่ 12 มกราคม

ท่านได้แสดงความรักป่าไม้ด้วยการมอบเงินช่วยเหลือเจ้าหน้าที่ที่เสียชีวิตจากการปฏิบัติหน้าที่ปกป้องพิทักษ์ป่า พื้นที่อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ แต่ท่านไม่รักป่าโดยการออกจากที่ป่าสงวน

จริงๆ น่าเห็นใจท่านเหมือนกันเพราะผมได้ขึ้นไปดูเขายายเที่ยงด้วยตัวเองยามเย็นแล้ว สวยมากๆครับ ทางขึ้นเขาไปจนถึงบ้านท่านไม่กี่กิโลเมตรเอง ถนนลาดยางอย่างดีผ่ากลางภูเขาเขียวขจีสองข้างทางไปโผล่หน้าบ้านท่านเส้นหนึ่ง แยกซ้ายไปอ้อมเข้าหลังบ้านท่านอีกเส้นหนึ่ง ด้านหน้านั้นไม่ต้องพูดถึง ตำรวจไม่ปล่อยให้ผ่านไปแน่นอน เราเดินเข้าข้างๆบ้านท่าน เลาะริมรั้วมาด้านหน้าบ้าน จะมีผลาญหินสวยนั่งชมพระอาทิตย์ตกดิน ยิ่งในยามหน้าหนาวตอนเช้าๆจะมีหมอกจางๆ ลอยเรี่ยๆยอดหญ้า บรรยากาศบนเขานั้นเงียบสงบมาก

ที่ผมเห็นใจท่านก็เพราะว่า หากเป็นผมก็คงเสียดายหากจะต้องส่งคืนกรมป่าไม้ไป ทั้งที่อยู่ดีๆ ใครก็ไม่รู้มาโวยวาย ร้องแรกแหกกระเชิงว่าท่านรุกที่ป่าสงวน ท่านเองลงทุนลงแรงปลูกบ้าน ซึ่งก็เชื่อไว้โดยสุจริตใจว่าเงินท่านปลูกเอง แล้วอยู่ดีๆ จะยกบ้านตัวเองให้กับคนอื่นเฉยเลย

ผมเองเห็นใจท่านประการถัดมาด้วยเพราะว่า แค่ผืนป่าเล็กๆ จริงๆ ก็สู้ไม่น่าจะเป็นเรื่องเป็นประเด็นเท่าไร หากเราคิดเสียว่าผู้ใหญ่มีบารมีในบ้านเมืองทั้งหลายก็ล้วนมีกันทั้งนั้น จับไปที่ใหนป่าใหนเกาะใหนมีหมด ทำไมจะต้องไปจับที่ท่าน

แต่ที่ไปจับที่ท่าน ก็เพราะท่านเองพร่ำบ่นเทิดทูนจริยธรรมอย่างสูงส่ง ท่านอุตส่าลงทุนไปบวชวัดป่าหลังจากเกษียรอายุราชการ ซึ่งก็สมควรจะร่วมอนุโมทนา เมื่อมาเป็นนายกฯ ก็ยังไปประกาศ วาระแห่งชาติด้านจริยธรรม ธรรมาภิบาล และการป้องกันการทุจริตและประพฤติมิชอบในภาคราชการ หรูครับ ท่านอ้างระบบ ระบอบ บุคคล ยันไปที่สุดอ้างทางพระมาอีกให้อยู่ในศีลธรรม ด้วยเหตุผล เพื่อความสุขของชีวิต แล้วเราก็จะไม่ไปทุจริตโกงใครหากคนเราไม่มีคุณธรรม จริยธรรม ก็จะเผลอใจไปได้ง่าย โดยสัจธรรมแล้ว กฏแห่งกรรมเป็นสิ่งเที่ยงแท้และแน่นอน

… อืม กฏแห่งกรรมก็คงมาถึงท่านแล้ว เที่ยงแท้ และแน่นอนจริงๆด้วยครับ ท่านบิ๊กแอ๊ด

เกมส์เศรษฐีประเทศไทย



ได้เห็นข่าวนายกฯ เข้าพบท่านประธานองคมนตรี พร้อมรายละเอียดการเข้าพบเรื่องยุบสภา ตลอดจนถึงอาสาไปเคลียร์ใจอุ้มรัฐบาลกับท่านบรรหารฯ เล่นเอาท่านบรรหารสะดุ้งโหยงบอกปัดพัลวัล...

ผมเองไม่มีความสงสัยเคลือบแคลงอะไรมานานแล้ว เพราะคนไทยได้รู้ และเห็นพฤติกรรม การกระทำอันเป็นเครื่องชี้เจตนาของท่านประธานองคมนตรี ที่มีปรากฏมากว่า 4 ปี ย้อนหลังไปตั้งแต่ท่านลงมาเปลี่ยนโผทหารสมัยนายกฯ ทักษิณ ไล่มาตั้งแต่ใส่ชุดทหารออกเดินสายปลุกระดมทหารให้รู้ว่า รัฐบาลเป็นแค่จ็อกกี้ ไม่ใช่เจ้าของม้า

ผมไม่สงสัยเลย และเหตุการณ์นี้มันทำให้ภาพเจ้าของอำนาจ “มือที่มองไม่เห็น” มันชัดเจนมากยิ่งขึ้น

ตกลงแล้วบัดนี้ประเทศไทยเรามีอำนาจที่เป็นของประชาจริงๆหรือไม่?

ในรัฐธรรมนูญให้แบ่งอำนาจเป็น บริหาร นิติบัญญํติ ตุลาการ แต่ความจริงอำนาจทั้งหมดตอนนี้วิ่งไปรวมศูนย์อยู่ที่บ้านสี่เสา
ในรัฐธรรมนูญให้อำนาจสูงสุดอยู่ที่นายกรัฐมนตรี แต่ความจริง อำนาจสูงสุดอยู่ที่พลเอกเปรมฯ
เราเชื่อว่าสิทธิการออกเสียงเลือกตั้งเป็นของปวงชนชาวไทย แต่เรากลับเพิ่งตาสว่างกันว่า การเลือกตั้งที่เราร้องขอและภูมิใจ กลับเป็นเพียงแค่หมากเดินใน “เกมส์เศรษฐี” ของบรรดาอำมาตย์

ดูไปดูมา “เจ้าของอำนาจประเทศไทย” คงไม่ใช่เรื่องหลอกเด็กอีกต่อไป แต่หลอกคนไทยทั้งประเทศ คนไทยไม่เฉลียวเลยว่า ทั้งหมดทั้งปวงบนหมากการเมืองไทยถูกกำหนดมาไว้ตั้งแต่เกิดจนตาย ใครได้รับอานิสงฆ์ก็จะไม่แหกปากโวยวาย ใครขัดขืนก็กำจัด พอจนแต้มก็บอก ไม่รักชาติ ไม่รักสถาบัน ทรยศชาติ

เรียกร้องแต่ฝ่ายเดี่ยวให้คนอื่นซื่อสัตย์ แต่ตัวเองโกงทุกช็อต
เรียกร้องแต่ฝ่ายเดียวให้คนอื่นเสียสละเงินส่วนตัวเจ็ดหมื่นล้าน แต่ตัวเองอมแม้กระทั่งแต่ป่าสงวนของหลวง
เรียกร้องแต่ฝ่ายเดียวให้ทุกคนสงบสันติ สามัคคี แต่ตัวเองปล่อยสมุนออกมาด่า กระทบกระเทียบเปรียบเปรย ใส่ร้าย สร้างสถานการณ์ทุกวัน

ผมไม่สงสัยในการกระทำทุกอย่างของอำมาตย์พลเอกเปรม แต่แค่สงสัยว่า ท่านเอาอำนาจใหนในรัฐธรรมนูญมากระทำมากกว่า?!

ผีบ้านผีเรือน



ก่อนปิดต้นฉบับเห็นข่าวเล็กๆ แต่ปนขำๆพร้อมแง่คิดคือ บ้านนายกรัฐมนตรีไทยโดนปาด้วยถุงขี้ไม่ทราบจำนวนก้อน เข้าใส่ในตัวบ้านพร้อมปิดข่าวเงียบกริบ

ผมไม่ใส่ใจอะไรกับข่าวชิ้นไร้สาระว่าปาขี้เข้าไป แต่ใส่ใจว่า “ทำไม คนจึงเริ่มต้องแสดงออกถึงความรังเกียจได้ขนาดนี้?"

ทั้งหมดทั้งปวงของทุกองค์กรนั้นเกิดขึ้นจากความรัก ความศรัทธาและความชอบธรรม รัฐบาลก็ต้องเกิดจากความยอมรับจากประชาชน

หากวันใหนคนไทยไม่ยอมรับก็อยู่ไม่ได้แม้จะมีสารพัดผีคุ้ม

นักการเมืองเกิดจากความไว้ใจ เชื่อใจ และวางใจ ที่จะนำหมู่ชนไปสู่สิ่งที่ดีกว่า
ทหารก็เกิดจากความเชื่อมั่นของคนในชาติ ที่ฝากบ้านฝากเมืองไว้ในมือทหาร แต่ไม่เคยมีบ้านใหนเมืองใหนที่อนุญาตให้ทหารเข้ามาก้าวก่ายการเมือง มีอำนาจเหนือรัฐบาลเท่าประเทศไทย

ผมสงสัยเหลือใจ ทำไมบ้านเมืองไทยนี้มักมี ผีบ้าน ผีเมือง ผีคุ้ม นางมาร นางนาคอะไรเหนือธรรมชาติเหลือวิสัยเอาไว้ขู่ ข่มบรรดานักการเมืองประประชาชนไม่ให้คิด ไม่ให้สงสัย ไม่ให้ตั้งคำถามกับประเทศตัวเอง

ประเทศชาติคือการรวมกันของคนในชาติ เหมือนร่างกายมนุษย์เราคนหนึ่งที่ทุกองค์กรจะต้องขับเคลื่อนไปตามหน้าที่ ก็เหมือนแต่หากอวัยวะใดในร่างกายปฏิเสธอวัยวะอื่นหรือไม่ยอมรับการทำงานของอวัยวะอื่น จะทำให้ร่างกายเจ็บป่วย

คนในชาติเดียวกัน จะออกเสียงเลือกตั้งเลือกใคร ระบอบประชาธิปไตยจะประคองชาติให้เดินหน้าต่อไปได้ แม้ชาติจะมีความต่างในแง่เชื้อชาติ ศาสนา ความเชื่อ ความศรัทธาทางการเมือง แต่ชาติก็จะยังประคองไปได้ด้วยความเคารพในเสียงซึ่งกันและกัน
แม้จะเดินหน้าไปได้กระท่อนกระแท่น ชักช้าไปบ้าง และระหว่างที่เดินร่วมกันไป ก็รีบเติมไฟแห่ง “การศึกษาสิทธิแห่งประชาธิปไตย” ให้กับประชาชน เพื่อให้ทุกคนได้เรียนรู้และเท่าทันกัน

แต่ภาพความเป็นจริงก็คือผู้มีอำนาจนอกจะไม่ส่งเสริมการศึกษาให้คนในชาติฉลาดแล้ว ตลอดเวลากว่า 70 ปี ก็ยังแทรงความคิดผีบ้านผีเมือง ผีสางนางไม้ให้คนไทยโง่ลงกว่าเดิม พอนึกอะไรไม่ออกให้ไปขอหวยขอเจ้าพ่อ ใครเห็นต่างจากพ่อมดหมอผีก็จะสั่งไล่ตะเพิดออกจากหมู่บ้านเหมือนข่าวในหนังสือพิมพ์ นอกจากกดความฉลาดแล้ว ยังกด “ความเป็นมนุษย์” ที่จะพัฒนาตัวเองได้ให้ต่ำเตี้ยลงไป แล้วยกย่องบรรดาพ่อมดหมอผีให้เลื่อนขึ้นเป็นรุกขเทวดาลามไปถึงจะไปเป็นพระอินทร์พระอิศวร (ไม่เชื่อให้ดูตอนหวยออกทุกงวด) ท้ายสุด ประชาชนไทยเองได้อะไรจากบรรดาพ่อมดหมอผีนี้หรือไม่ ไม่เลย แถมยังต้องไปเสียค่ายกครูฟรีๆ กันทุกงวด

เมื่อชาวบ้านเริ่มตาสว่างจากบรรดาพ่อมดหมอผีทั้งหลาย คนเริ่มปฏิเสธกันมากขึ้น หวยที่เคยซื้อหากันใต้ดิน คนเริ่มฉลาดมาซึ้อกันบนดิน ก็ถูกปลุกปั่นยัดข้อหาจนหวยบนดินต้องยกเลิก กลับไปพึ่งหวยใต้ดิน แล้วหวยใต้ดินก็กลายเป็นอาหารโอชะของบรรดาเจ้าพ่อเจ้าแม่ทั้งหลายเพราะเป็นมุกหากินเดิมๆที่ยังหากินต่อไปได้

ผมไม่ได้เห็นอยากเห็นอิทธิฤทธิ์อะไรของบรรดาผีบ้านผีเมืองนี้อะไร อยากให้บรรดาผีอยู่ส่วนผี คนอยู่ส่วนคน หากคนไทยยังไม่เร่งพัฒนาตัวเองไปให้มากกว่านี้ ยังก้มหน้าเชื่อทรงเจ้าเข้าผี ยังเชื่ออิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ ชาติไทยจะเดินหน้าไปได้อย่างไร?

เพียงแค่เริ่มเคารพในเสียงของประชาชนทุกคน เท่านี้ก็จะยุติความขัดแย้งทั้งมวลได้

เมื่อไหร่คนไทยจะเลิกกลัวผีบ้านผีเรือน สักทีครับ?!

เด็กดาวไถ



ท่านนายกฯทักษิณ ชินวัตรได้เรียกนายกฯมาร์ค กับรัฐมนตรีคลังกรณ์ว่า “เด็กสองคน” ดูแลประเทศไทย ซึ่งก็ไม่ค่อยจะซาบซึ้งกินใจกับความหมายมากนัก จนกระทั่งเมื่อประเทศกำลังจะจวนไปมิจวนไปแหล่ ปรากฏว่าเด็กสองคนส่งลูกน้องคือกรมสรรพากรออกอาละวาดภาษีกันวุ่นวาย แต่ยังมีแก่ใจให้นายสาธิต ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลังมาแจกข่าวใหญ่น่าดีใจว่า รัฐบาลจัดเก็บภาษีรายได้สุทธิ 1.10 แสนล้านบาท สูงกว่าเป้าถึง 18,000 ล้านบาท

แถมยังประกาศว่า “ จากผลการจัดเก็บรายได้รัฐที่ขยายตัวอย่างต่อเนื่อง ทำให้คลังมั่นใจว่าปี 53 จะเก็บรายได้ตามเป้าที่คาดหมายไว้จำนวน 1.522ล้านล้านหรืออาจสูงกว่าถึง 1.72 แสนล้านบาท”

ท่านคิดได้ไง? ท่านภูมิใจได้อย่างไร? ท่านก็รู้แก่ใจว่า บรรดาบริษัทฯทั่วไปใหญ่โตมีระบบภาษีอยู่ เขาก็แจ้งภาษีเป็นระบบ ขายได้เท่าไรก็จ่ายภาษีเท่านั้น ดังนั้นรายได้ภาษีที่เพิ่มขึ้นจึงต้องหามาจากพ่อค้าแม่ค้าที่ใช้วิธี “ประเมินภาษีแบบเหมาจ่าย”

เขาไปเรียกพ่อค้าแม่ค้าแต่ละร้านมานั่งบีบ บีบกันหน้าเขียว คูณเลยวันนึงควรขายได้กี่จานกี่หม้อ หม้อละกี่บาทรวมวันนึงได้เท่านั้นเท่านี้กดคูณ 365วัน คนรอบข้างตัวผมทุกวันนี้ มีถึงขนาดเจ้าหน้าที่กรมสรรพากรเดินเข้าประตูบ้านไปเที่ยวเดินรอบบ้านรอบร้านถ่ายรูปถ้วยโถถัง กะละมังยันห้องน้ำ ทำเอาเจ้าของร้านเขาตกอกตกใจ แต่ทำอะไรก็ไม่ได้ มันไม่ใช่ไปละเมิดเขาเหรอครับ

แล้วภาษีที่เก็บเพิ่มได้อีกส่วน ท่านไม่ได้แกะตัวเลขหรือว่าเขาได้มาจากภาษีสรรพสามิตน้ำมัน ซึ่งตอนนี้เบนซีน 95 ปกติล่อไปลิตรละ 42 บาทแล้ว ไม่ได้แกะดูหรือว่ารายได้จากนำเข้าทองคำมาปั่นๆๆๆๆกัน ในขณะที่รายได้คนค้าขายลดลง แล้วรายได้ภาษีมันสวนทางกับเงินในกระเป๋าชาวบ้านได้อย่างไร?

หากเป็นเช่นนี้ผมไม่ต้องมีนายกรัฐมนตรีก็ได้ ผมมีแค่อธิบดีกรมสรรพากรก็ได้

หน้าที่เด็กสองคนไม่ใช่ดีใจสร้างภาพเก็บภาษี แต่ควรหาทางสร้างตลาดสร้างรายได้เพิ่มให้กับชาวบ้านเขา เพื่อให้เขามีรายได้ดีมากขึ้น แล้วเอามาจ่ายภาษีให้ท่าน ไม่ใช่เขายิ่งยากจนก็ยิ่งไปรีดเลือดกับปู จำไว้น่ะมาร์ค ผมน่ะไม่ได้จบอ็อกฟอร์ด แต่พอพูดได้คำหนึ่งว่า

“ไถเงินชาวบ้านเขาเรียกว่าเจ๋งหรือครับ ท่านนายกฯ”

ทหารแตงโม




เราพูดกันมาอย่างชัดเจนว่าบ้านเราเมืองเรานี้ไม่มีความเสมอภาค มีการแบ่งแยกชนชั้น แยกลูกเขาลูกใคร ทัพใหนใครคุม ไม่เว้นแม้แต่ตำรวจและทหารที่มาเฝ้าอยู่ในวัดและโรงเรียน

ทันทีที่ทหารยินยอมถอยทัพออกจากโรงเรียนและวัดรอบจุดชุมนุม ทหารต้องอาศัยรถบรรทุกทหารกว่าสิบคันในการขนย้ายสัมภาระ สิ่งของรวมทั้งทหารเดินแถวออกจากวัด ใช้เวลากว่าครึ่งวัน ในขณะที่ตำรวจมีแค่เป้ใบเดียวเดินออกไปได้เลย
ทำไมถึงต่างกันครับ

(ฝั่งลูกเมียน้อย) ตำรวจนายหนึ่งเข้าประจำการที่โรงเรียนแห่งหนึ่งไกล้จุดชุมนุมเล่าให้ฟังว่า ตำรวจนั้นไม่มีอุปกรณ์อะไรติดตัว ขนแค่มุ้งหลังหนึ่ง ผ้าขะม้าปูนอนผืนหนึ่งก็มายืนประจำการโดยไม่มีแม้แต่ยาทากันยุง เบี้ยเลี้ยงวันหนึ่งๆ แปลงเป็นอาหารกล่องแห้งๆ สามกล่อง อาหารเช้ามาตอนสิบโมง อาหารเที่ยงมาตอนบ่ายสาม อาหารเย็นมาสองทุ่ม แถมข้าวแข็งๆพร้อมกับเหี่ยวๆ เบี้ยเลี้ยงก็ได้มาแบบไม่กี่บาท เอาไปซื้อก๋วยเตี๋ยวน้ำ กับโค้กก็หมดแล้ว

ข้ามรั้วไปแค่หนึ่งเมตร (ฝั่งลูกเมียหลวง) อาหารทุกมื้อถูกเสริฟตรงเวลาด้วยฝีมือแม่ครัวสดๆ ยกเตาแก๊ส ยกตู้เย็น มาปรุงสดๆถึงในค่ายทุกวัน หิวเป็ปซี่ก็มีมาเป็นลังๆ พร้อมน้ำแข็ง ยืนเฝ้านานแล้วเครียด อยากสูบบุหรี่ ก็มีสปอร์นเซอร์ใจดี ยกบุหรี่ทีละลังมาทิ้งไว้ หยิบสูบทิ้งสูบขว้าง ที่นอนหมอนมุ้งพร้อมอย่างดี

อุปกรณ์สื่อสารฝั่งตำรวจ มีวิทยุตัวหนึ่ง แต่ทหารยกคอมพิวเตอร์ เซฟเวอร์ พร้อมอุปกรณ์สื่อสารเคลื่อนที่ทุกชนิดเสียบปลั๊กใช้ได้ทันที ใครรวยหน่อยจะยกโน๊ตบุ๊คมาแอบดูรายการความจริงวันนี้ก็ไม่มีใครว่า

ดูซิ มันน่าน้อยใจใหม แม้จะเป็นลูกน้องอำมาตย์เหมือนกัน แต่ก็ยังมีแบ่งเป็นลูกรักลูกชัง รักลูกดูแลไม่เท่ากัน คนหนึ่งนอนตากยุงกลางสนามโรงเรียนไม่มีอุปกรณ์แม้แต่ชิ้นเดียว อีกคนเขามีมุ้งหมอนนอนหลับพร้อมเป่าพัดลมตัวเบ่อเริ่ม พอเวลาต้องย้ายทัพ เลยต้องขอเวลาเคลือนทัพ ย้ายข้าวของนานหน่อย

คุณตำรวจแกก็ไม่ได้บ่นอะไรน้อยใจไปกว่านี้เพราะแกปลงแล้ว เพียงแต่ถามผมเงียบๆว่า “... เมื่อคืนวงอะไรเล่นบนเวทีอ่ะพี่ แหม... ผมไปยืนดิ้นหน้าเวทีมันมาก.. เดี๋ยวคืนนี้ผมจะไปฟังใหม่น่ะ ผมขอวงดนตรีแบบเมื่อคืนนะ หนักสะใจดี พวกผมไปกันหมดเรย...”

ก้าวเดินนับจากนี้‏



ดีใจที่ประเทศไทยผ่านช่วงการเจรจามาได้สองรอบ โดยไม่มีภาวะแทรกซ้อนใดๆ แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าใครจะชนะใคร แม้จะยังไม่มีข้อสรุปต้องรอการเจรจาในรอบที่ 3 ซึ่งฝ่ายหนึ่งให้มี และฝ่ายหนึ่งไม่ให้มี ประกอบกับมีการนัดชุมนุมใหญ่อีกในวันที่ 3 เมษายน

ถึงวันนี้ เป้าหมายเสื้อแดงชัดเจนแล้วว่าต้องการให้รัฐบาลยุบสภานำไปสู่การเลือกตั้งใหม่ แต่ทางที่เดินไปจากวันนี้ เป้าหมายการเลือกตั้งอาจเป็นเป้าหมายรอง แต่เป้าหมายหลักคือต้องการประชาธิปไตยอย่างสมบูรณ์ โดยที่อำนาจเป็นของพี่น้องประชาชนโดยแท้จริง อาจไม่ใช่หนทางระยะสั้น และอาจโรยด้วยกระสุนปืนรายรอบ แต่หากท่านพร้อมจะสู้

ขอให้ท่านได้โปรดลองพิจารณาข้อความต่อไปนี้

1. การเคลื่อนไหวมวลชนต่อจากนี้ไป ต้องปรับวิธีใหม่ให้ยึดถืออุดมการณ์ประชาธิปไตยสูงสุดนำมวลชน ผลักท่านทักษิณให้หลบออกไปจากขบวนการต่อสู้ ลบภาพท่านออกไปจากข้อหาว่าเป็นการต่อสู้เพื่อท่าน ท่านควรไปทำธุรกิจนอกประเทศของท่านสักระยะหนึ่ง จะห้าปี หรือสิบปีก็น่าจะพอหาเงินหาทางได้ไม่น้อยกว่า 7 หมื่นล้าน สส. ผู้นำชุมชน ต้องพยายามลดกล่าวอ้างถึงท่านทักษิณ เพราะยิ่งพูด จะยิ่งกลายเป็นมวลชนของส่วนบุคคลมากกว่าของชาติ

2. รวมกลุ่มชนทุกชั้น ทุกองค์กรในระดับรากหญ้า คนชั้นกลาง ถึงชนชั้นปกครองใหม่ที่มีใจประชาธิปไตย สลายเสื้อทุกสี แล้วนำมาหลอมรวมใหม่ภายใต้กระบวนการประชาธิปไตยบริสุทธิ์ ฝั่งคนกรุงฯ เราต้องเอาจริตของคนกรุงมาชักจูงใจเช่น ไม่ปิดการจราจร จัดกิจกรรมการชุมนุมที่สร้างสรรค์เช่น บริจาคเลือดให้สภากาชาด ฝั่งคนต่างจังหวัด เราต้องเอาจริตของคนต่างจังหวัดมาใช้บริหารเช่น การร่วมทำความสะอาด ถนนหนทาง การจัดนิทรรศการสินค้าโอท็อปในสถานชุมนุม

3. หากในระยะสั้นนี้ มวลชนแต่ละกลุ่มที่มารวมกันแม้จะมาด้วยเหตุผลใดก็ตาม แต่ต้อง รักษาจุดร่วม สงวนจุดต่าง อย่าเอาผลประโยชน์จากเงินเดือนเงินดาวเงินไถมาเป็นเหตุแตกคอจนทำให้กระบวนการมันสะดุด หากท่านรักประชาธิปไตยด้วยใจจริง ในระยะยาว ต้องตั้งเป็นองค์กรที่ชัดเจน โดยลบภาพแกนนำม็อบ อาจนำคุณจาตุรนต์มาเป็นหัวหน้าเดินนำขบวนการแทนสามเกลอ

4. มวลชนที่เดินหน้าร่วมกันต้องกินต้องใช้ จะต้องหากลุ่มทุนใหม่ที่มากและเพียงพอในการประคับประคองการต่อสู้ ไม่ใช่หากลุ่มทุนเพื่อความร่ำรวยส่วนบุคคล มีการบริหารองค์กรอย่างกระชับรัดกุมไม่สเปะสปะ อย่าให้มีข่าวคราวการอมเงิน กินเปอร์เซ็นโดยเด็ดขาด

5. ใช้สื่อสารสมัยใหม่ในการสื่อสารอุดมการณ์ต่อไปยังเครือข่ายบุคคลร่วมอุดมการณ์ เพราะไม่สามารถพึ่งพิงสื่อหลักได้ สร้างภาพลักษณ์สมัยใหม่ให้ปรากฏแก่สายตาคนไทยและคนต่างประเทศโดยจัดกิจกรรมคล้ายๆมูลนิธิไทยคม หรือ 111 เพื่อให้ความรู้เรื่องอุดมการณ์ประชาธิปไตยที่แท้จริง

6. การต่อสู้นี้ อาจจะยาวนาน กินเวลาเป็นปี หรือหลายๆปีแน่นอน ควรกลับไปในชุมชนของท่าน จัดตั้งองค์กรเสื้อแดงในชุมชนให้เข้มแข็ง มีระเบียบวินัย ให้กลับไปทำงานหาเงิน สะสมเงินทองเพื่อนำมาใช้ช่วยการต่อสู้ในอนาคต เมื่อทุกชุมชน ทุกระดับ ได้รับเสียงนกหวีดอีกครั้งแล้วขับเคลื่อนพร้อมกัน

ภาพการต่อสู้นับจากนี้ ไม่ใช่การต่อสู้ฉาบฉวย ไม่ใช่ต่อสู้เพื่อชนะ แต่ต้องสื่อสาร “เป้าหมายที่แท้จริง” ออกไปให้ทั่ว ทุกคนต้องเสียสละ ท่านทักษิณต้องเสียสละ เสื้อแดงทุกคนต้องเสียสละ และทุกการเคลื่อนไหวต้องชัดเจน “ สงบ สันติ อหิงสา” เมื่อนั้น ทหารจะวางปืนแล้วเดินออกมาหาท่านเอง

ทำบุญสักครั้งเถอะครับ



เรียน ท่านนายกรัฐมนตรี นายอภิสิทธ์ เวชชาชีวะ

ผมขออนุญาตเขียนถึงท่าน คุยกับท่านด้วยหัวใจคนไทยกับคนไทยคุยกันสักครั้ง ผมจะถอดเสื้อแดงวางไว้ก่อนแล้วสื่อสารกับท่านด้วยจิตใจที่รักสงบ

ท่านครับ ท่านคงเข้าใจดีว่า ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นวันนี้นั้น เป็นเรื่องการเมือง การเมืองควรแก้ด้วยการเมืองครับ วันนี้ท่านเลือกเส้นทางใหม่ให้กับชีวิตท่านแล้ว โดยยืมมือศาลรับรองอำนาจการปราบปรามผู้ชุมนุมโดยถูกต้องตามกฎหมาย

ท่านครับ ท่านเป็นคนกรุงเทพฯ คนกรุงเทพฯก็ย่อมมี “จริต” อย่างหนึ่ง ซึ่งก็คงเหมือนกับผมที่เป็นคนกรุงเทพที่เหลือกินเหลือใช้ มีข้าทาสบริวารรับใช้ ชี้นิ้วสั่งงาน ไม่พอใจก็โวยวาย ใครมาทำอะไรให้ร้อนนิด รถติดหน่อยก็ทนไม่ได้เอ็ดตะโรด่าทอ เห็นเงินเห็นอำนาจเป็นพระเจ้า เห็นทหาร เห็นตำรวจ เป็นเหมือนพลเมืองชั้นสอง ที่ตำหนิได้ ทำผิดกฎหมายก็ติดสินบนได้ เห็นคนอิสานเป็นกรรมกรแรงงาน เห็นคนเหนือเป็นโสเภณีค้ายาเสพติด เห็นคนบ้านนอกไร้การศึกษา พูดจาก้าวร้าวไร้การอบรมสั่งสอน คนกรุงเทพฯ จะพลิกแพลงกฎ ระเบียบ กฎหมายเพื่อกดขี่เข้าข้างพรรคพวกตัวเองได้ตามใจปรารถนาตามอำนาจและเงินของตน นั่นคือความจริงครับ

ท่านครับ คนต่างจังหวัดก็จะมี “จริต” แตกต่างไปจากคนเมือง เขาเกิดมากับความยากจน เขาต้องดิ้นรนเลี้ยงชีพทุกวิถีทางที่เขาทำได้ สุจริตบ้าง ไม่สุจริตบ้าง ต้องจากบ้านจากครอบครัวมาทำงานในกรุงเทพฯ เป็นลูกจ้างร้านก๋วยเตี๋ยว มาขับรถแท็กซี่ มาขับรถเมล์ฉวัดเฉวียน มาเช่าห้องแถวอยู่แออัด เลิกงานก็กินเหล้าย้อมใจโหวกเหวกโวยวายตามประสา ประดามี จะไขว่คว้าหาปริญญาสร้างอนาคตเพื่อถีบตนให้พ้นจากคำว่า “พวกไร้การศึกษา” ก็ยากเต็มที ทำงานเจอนายจ้างดีก็ดีไป เจอคนใจร้ายหน่อยก็ต้องกัดฟัน เลือกตั้งทีไรใครให้เงินก็รับไว้ เลือกไหมก็อีกเรื่อง นั่นคือความจริงครับ

เมื่อเอา “จริต” คนกรุงเทพฯ มีการศึกษามาจับพฤติกรรมคนต่างจังหวัด ก็รู้สึกดูถูก เหยียดหยามว่าไร้การศึกษา เมื่อเอา “จริต” คนต่างจังหวัด มาดูคนกรุงเทพ ก็รู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจ อยู่อย่างเจียมตัว พาลไปถึงหากมีโอกาสแก้แค้นก็คงอยากทำบ้าง

เท่าที่ผ่านมานั้น ทั้งคนกรุงเทพ และต่างจังหวัดก็ต่างอยู่กันอย่างน้ำพึ่งเรือ เสือพึ่งป่า และสิ่งที่ทำให้เขาสองฝ่ายรู้สึกเท่าเทียมกันบ้างก็คือ การได้สิทธิเลือกตั้ง แม้ฝ่ายคนกรุงเทพจะได้เปรียบจากการเขียนกติกาเองก็ตาม แม้คนต่างจังหวัดจะเลือกรัฐบาล แล้วคนกรุงเทพก็ล้มรัฐบาลมาโดยตลอด แต่ไม่เคยมีสักครั้งที่จะกระทบกระทั่งกันจนถึงจุดแตกหักเช่นวันนี้

ท่านนายกรัฐมนตรีครับ ท่านอาจคิดว่า ทำไมคนกรุงเทพฯ อย่างผมถึง “ไฝ่ต่ำ” ไปเข้าอกเข้าใจคนต่างจังหวัด ทำไมไม่เข้าใจหัวอกความเดือดร้อนของคนกรุงเทพเหมือนกันละ เหตุผลคือ เพราะผมเองนั้น เวลามอง จะมองโดยถอดตัวผมออกจากสมการ แล้วเอาสองฝ่ายมาเปิดวางบนโต๊ะ แล้วมองบริบท เหตุผล เหตุการณ์ โดยไม่คิดวาดภาพก่อนว่าจะต้องเป็นเช่นไร แต่ปล่อยให้เกมส์มันดำเนินไปด้วยตัวมันเอง มองด้วยความเป็นจริง แล้วทำความเข้าใจกับมัน

ท่านครับ ผมคงไม่ปฏิเสธว่า เทียบวัดมวยตัวต่อตัว ระหว่างท่านและทีมงานรัฐบาล กับแกนนำ นปช. ท่านมีภาพลักษณ์ที่ดี เรียนหนังสือเก่ง พูดได้โล่ ทำงานได้ถ้วย พูดจาไพเราะยึดถือหลักการแม่นยำ อีกฝ่ายหนึ่งรูปชั่วตัวดำ ไร้การศึกษา ไร้อาชีพเป็นหลักฐาน พูดจาก้าวร้าว ผมก็ไม่ปฏิเสธ

ท่านครับ เมื่อคราวพันธมิตรทำร้ายทุกอย่างกับบ้านเมือง สังคมเราได้สร้างมาตรฐานไว้อย่างหนึ่ง วันนี้เสื้อแดงก็เดินย่ำเทียบรอยนั้นแต่เดินด้วยความระมัดระวังไม่ให้ผิดกฎหมาย ท่านก็กลับมีมาตรฐานอีกอย่างหนึ่ง ผมคงไม่ต้องอธิบายคำว่า ไร้มาตรฐานและความยุติธรรม เพราะต่อให้พูดให้ตาย ท่านก็คงไม่ “รู้สึก” อะไรเพราะท่านมีเป้าหมายไว้ในใจอยู่แล้ว

ท่านพูดได้ครับ ว่าท่านเป็นนายกฯ ด้วยการเลือกอย่างประชาธิปไตยจากสมาชิกสภาผู้แทนฯ แต่ท่านถามใจลึกๆของท่านดู ด้วย “หิริโอตัปปะ” ของท่านสิครับ ว่าท่านมาเป็นนายกรัฐมนตรีของประเทศไทยได้ด้วยฝีมือของใคร ของท่านหรือของคนอื่น ท่านคิดด้วยสำนึกจริงๆเถิดครับ ว่าท่านกล้าหาญเพียงใด ที่จะกล้าสั่งทหารหยิบปืนมายิงประชาชนทิ้ง เพื่อให้ท่านได้เป็นนายกรัฐมนตรีต่อไปอีกแค่หนึ่งปีเศษ ท่านเคยคิดหรือสำนึกบ้างไหมครับว่าท่านเป็นนายกรัฐมนตรีของคนไทยทั้งชาติทุกภาคส่วน หรือท่านคิดเพียงแค่ท่านเป็นนายกรัฐมนตรีของคนกรุงเทพเท่านั้น

ท่านครับ ผมมองวันนี้แทบจะหาคำตอบไม่ได้ว่า หากเสื้อแดงชนะ ท่านจะอยู่อย่างไร ผมมองไม่ออกเลยว่าหากท่านนายกฯชนะ ท่านจะปกครองชาติต่อไปได้อย่างไร ยังไม่นับซากศพและกองปรักหักพัง ยังไม่นับถึงจลาจลซึ่งเวลานั้นไม่สามารถกำหนดอะไรได้ทั้งสิ้น เฉพาะห้างสรรพสินค้า โรงแรม ร้านค้าสารพัดแวดล้อมทั้งหมด นับไปมาไม่ต่ำกว่า 100 แห่ง จะต้องราบพนาสูร ท่านอาจนึกตำหนิว่า คนมาชุมนุมอันธพาล ใช้สิทธิ์อะไรในการทำร้ายหรืออาจกลายเป็นจลาจล ผมก็ไม่ได้สนับสนุนหรือเห็นด้วยสักเท่าไร แต่ผมก็ไม่ได้เต็มใจที่ให้อำนาจท่านออกมายิงประชาชนทิ้งเหมือนหมูเหมือนหมาเช่นกัน

ท่านครับ การที่ท่านเสียสละไม่ใช่เป็นการเสียหน้า หรือเป็นความผิด แต่ผมจะยกย่องให้เป็นการเสียสละอย่างยิ่งของท่าน ท่านเหมือนปิดทองหลังพระองค์ใหญ่มหาศาลทุกองค์ทั่วประเทศพร้อมกัน ท่านจะช่วยปกป้องชีวิต ทรัพย์สิน และให้ชาติรอดพ้นวิกฤตไปได้อีกครั้งหนึ่ง แม้อาจไม่สามารถแก้ปัญหาได้หมดเหมือนที่ท่านว่า แต่พอจะยังนำพาประเทศชาติรอดพ้นวิกฤตไปได้อีกสักระยะหนึ่ง เสื้อแดงก็จะยังไม่จบ เสื้อเหลืองก็ยังอยู่ในคราบชมพู วิกฤตก็ยังคงดำเนินต่อ แต่จะไม่มีการสูญเสียเลือดเนื้ออย่างที่คิด ท่านอาจถามว่าทำไมฝ่ายเสื้อแดงไม่เสียสละบ้าง ผมก็คงกราบเรียนท่านด้วยความเคารพว่า ในเมื่อท่านตราหน้าว่าคนชุมนุมเสื้อแดงเป็นคนดื้อ ไม่มีเหตุผล ไร้การศึกษา ชุมนุมละเมิดกฎหมาย คนดื้อขนาดนี้ท่านจะไปสู้รบให้เดือดร้อนบ้านเมืองทำไม ท่านต้องรีบให้การศึกษา พัฒนาอาชีพ ความรู้ และโอกาสในชีวิตแก่เขาเหล่านี้เพื่อพัฒนาตนให้เจริญก้าวหน้า เขาจะได้ไม่ต้องมานั่งกลางแดด กลางถนนดังเช่นวันนี้อีก

ท่านครับ ท่านเลือกเส้นทางเดินชีวิตท่านแล้ว ศาลได้ตีตรารับรอง “สิทธิการฆ่าโดยถูกต้องตามกฎหมาย” แก่ท่านแล้ว ผมอยากให้ท่านทบทวนอีกสักครั้งก่อนหยิบปืนว่า

“ท่านมองเขาเหล่านั้น เป็นเพื่อนร่วมชาติ เป็นมนุษย์ หรือเป็นไพร่ เป็นสัตว์เดียรัจฉาน ที่ท่านจะลุกมาฆ่ายิงทิ้งเหมือนหมาข้างถนนได้ทุกเวลา”

ท่านทำบุญสักครั้งเถิดครับ

สองตีนกู จะกู้ประชาธิปไตย



หลั่งเลือดไพร่ ชโลมร่าง บังกระสุน
เป็นโพรงพรุน แหลกเหลว เข้วแลกสู้
มีเพียงแค่ สองมือ สองตีนกู
แต่ก็ร่วง เกรียวกรู สู่แผ่นดิน

มันสาดใส่ โหมใส่ ยิงไม่ยั้ง
มีอาวุธ รถถัง คลั่งบ้าบิ่น
ยิงคนไทย ด้วยกัน มันโหดทมิฬ
เลือดไหลริน เพราะอำมาตย์ ชาติจัญไร

มันคือฝูง ทรราช อำนาจบ้า
อำมาตยา เยี่ยงสถุล อวดศักดิ์ใหญ่
นับแต่นี้ กูจะจำ อย่างเจ็บใจ
จะสาปไว้ ใต้ขุม อเวจี

ศพเรียงศพ พี่น้อง ผองนักสู้
เขาคือผู้ เสียสละ ไม่ผละหนี
เขาคือไพร่ เพียงผง ฝุ่นธุลี
แต่เขาคือ ศักดิ์ศรี วีรชน

เวียนศพรอบ (อนุ)สาวรีย์ ที่เขารัก
แม้เขาจาก ฝากเลือดแดง ไว้เข้มข้น
ฝากสองมือ สองตีน แต่ละคน
กอบกู้จน ได้มา ประชาธิปไตย ฯ


ไว้อาลัยแด่.... วีรชนคนเสื้อแดง
๑๐ เมษายน ๒๕๕๓
“ดิน ดาวแดง”

อาลัยวีรชน



“นายเทิดศักดิ์ ฟุ้งกลิ่นจันทร์ อายุ29 ปี เสียชีวิตด้วยกระสุนปืน M16 5นัด ตัดขั้วหัวใจ นำส่ง รพ.ราชวิถี แล้วส่งต่อมา รพ.รามาฯ”
จาก http://www.pantip.com/cafe/rajdumnern/topic/P9129538/P9129538.html

ผมต้องเสียน้ำตาอีกครั้ง เมื่อได้อ่านข้อเขียนเล็กๆ ที่เพื่อนเขียนถึง “เพื่อน” ด้วยความรักต่อการจากไปอย่างกระทันหันเมื่อเช้าวันที่ ๑๑ เมษายน ๕๓ จึงขออนุญาตท่านเจ้าของได้นำมาตีพิมพ์ไว้เพื่อร่วมไว้อาลัยครับ

“...โบ๊ทฉันยังจำวันที่แกเกิดวันแรกได้เลย โบ๊ทแกเป็นน้องคนแรกของพี่ที่พี่รู้ว่าการมีน้องเล็กๆมันตื่นเต้นขนาดไหน พี่ลงทุนหยุดร.ร.เลยนะเพื่อเฝ้ารอแกและน้าแตน(แม่แกไง)กลับจากโรงพยาบาลตอนนั้นถ้าจำไม่ผิดอายุฉันประมาณ 7 ขวบและตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาพี่รักและหวงแกมากในสมัยเด็กนะ... แล้วแกก็ย้ายไปอยู่ที่อื่นเพราะโดนไล่ที่ อะไรหลายๆอย่างทำให้ฉันกับแกห่างกัน....
แกเรียนแล้วฉันก็มีครอบครัวแล้ว บ้านแกก็ไกลด้วย แต่ทุกปี “วันสงกรานต์” แกต้องมาหาฉันที่ในซอย 9 เกือบทุกปี แกมาหาเพื่อนๆ แกด้วย..... แต่ปีนี้แกก็มานะแต่แกมาอย่างนี้ฉันรับไม่ได้เลย ปีที่แล้วแกยังโทรคัพย์กับฉันประจำเลยแล้วเราก็ไม่ได้ติดต่อกันเพราะว่าโทรศัพย์ฉันหายแล้วฉันก็ยุ่งๆ แต่ฉันคิดว่าเด๋วแกก็คงมาวันสงกรานต์เด๋วค่อยขอเบอร์แกใหม่

วันที่แกตายนะตอนเช้าวันที่ 11 เมษายนฉันกินข้าวอยู่ แล้วทีวีก็ประกาศรายชื่อบุคคลที่เสียชีวิต ฉันตกใจมากไม่อยากนึกว่าเป็นแกเลย ฉันเศร้ามากเสียใจ ไม่อยากเชื่อคิดแต่ว่าเขียนชื่อผิดหรือเข้าใจอะไรผิดซักอย่าง โบ๊ทหลับให้สบายนะไอ้น้องรัก ชาติหน้ามีจริงเราเกิดมาเจอเป็นพี่น้องกันใหม่นะ ฉันจำวันนั้นไม่มีลืมเลยวันที่แกเกือบจมน้ำตายแล้ว ที่ท่าน้ำเราเล่นน้ำกัน เรายังเด็กกันหมดแล้วเราก็ช่วยแกขึ้นมาทำให้ฉันผูกพันกับแกมาก แกคงไม่ผูกพันกับฉันเท่าฉันที่คิดผูกพันกับแกหรอกเพราะว่าแกยังเด็กแต่ฉันโตกว่าแกเยอะ ฉันเลี้ยงแกรักแกมาก ภาวะหน้าที่ที่ต้องทำจนบ้างครั้งฉันลืมแกไปแต่แว็บหนึ่งฉันก็คิดถึงแกแต่แกคงไม่นึกถึงฉันหรอกเพราะหน้าที่การงานของแต่ละคน

ตอนเด็กเราไปดูหนังด้วยกัน แม่ฉันก็รักแกมากเหมือนแกเป็นลูกชายคนเล็กเลยเราไปดูหนัง ไปเขาดินไปไหนต่อมีพวกเราก็ต้องมีแกเพราะแกเป็นส่วนหนึ่งในครอบครัวเรา โบ๊ทจำไว้นะแกทำดีที่สุดแล้วแกเป็นวีรบุรุษในใจพวกเราตลอดไปวันนี้ฉันไปงานแกด้วยฉันไปช่วยจัดเกี๊ยวน้ำเสริฟแขก สิ่งเดียวที่ฉันจะทำเพื่อแกได้ในเวลานี้ภาพแกยังติดตาฉันเสมอ มาดกวนประสาทฉัน แล้วแกพูดกวนๆของแกยังอยู่ในโสดประสาทฉันสงสารแกมากแกคงเจ็บมาก ใครลองนึกดู วันแรกที่แกเกิดฉันได้เห็นแก วันที่แกตายฉันก็เห็นแก มันเศร้านะ ฉันไม่รู้จะไประบายกับใครฉันไปพูดกับใครคนคงหมั่นไส้ฉันที่แกตาย แกดังแล้ว ฉันมาพร่ำเพ้อถึงแกแต่ไม่มีใครรู้ว่าฉันผูกพันกับแกขนาดไหน มันอยู่ที่ใจฉันจำไว้ ฉันผูกพันกับแกมากและฉันก็รักแกมากแม้เราห่างกัน พี่ขอให้แกไปสบายนะ"


โบ๊ทน้องรักของพี่
พี่ติ๊บ 13/04/2010 - 23:50

ขอไว้อาลัยด้วยจิตภารวะ

เฟซบุ๊ค กับ หมอตุลย์ ?




กระแสเสื้อหลากสี จัดตั้งกำลังมาแรง จึงมีคนให้ความสนใจเข้าร่วมกลุ่มกัน ปรากฏว่ากลุ่มนี้ดำเนินการกันได้ไม่ถึงสองสัปดาห์ ก็มีอะไรแปร่งๆ จนมีคนมาระบายความในใจกันให้สาธารณะชนทราบ เราขอนำข้อความในใจของเหล่าคนสนับสนุนเสื้อหลากสีมาให้ท่านได้อ่าน หวังใจให้ทุกท่านเปิดใจกว้างฟังเพื่อนร่วมสังคมน่ะครับ

----------------------------------------------

"ผมเป็นคนหนึ่งที่เฝ้าดูการออกมาแสดงพลังของทุกคนใน group นี้ รู้สึกชื่นชมมาก แต่มีข้อสงสัยที่ยังตะขิดตะขวงใจ ว่าคน groupนี้ มาในนามของคนไทยรักสันติ หรือกำลังกลายเป็นเครื่องมือแสวงหาผล ประโยชน์ของคนบางกลุ่มหรือไม่?

เกือบทุกครั้งที่เห็นคุณหมอตุลย์ผ่านสื่อ โทรทัศน์ จะรู้สึกไม่สบายใจเลย ที่เห็นคุณหมอแต่งกายด้วยชุดทำงานปรกติ เหมือนทุกท่านที่เสร็จจากงาน แต่กลับสวมหมวก ปักลาย "กลุ่มจามจุรีรักชาติ"

ใจจริงแล้ว เราเชื่อว่าทุกท่านในgroup FB นี้ออกมาแสดงพลังด้วยจิตวิญญาณของคนไทยที่รักแผ่นดินและสันติสุข จำเป็นด้วยหรือ ที่จะต้องมีแกนนำ มีคนขึ้นปราศรัยเหมือนกับเวทีของกลุ่มอื่นๆ ความจริงแล้ว น่าจะมีเพียงผู้นำกิจกรรม เช่น การนำร้องเพลงปลุกใจ หรือ กิจกรรมสร้างสรรค์อื่นๆ ที่ไม่ใช่การขึ้นเวที

การแสดงพลังของคนไทยใน ครั้งนี้ จะสวยงามมาก หากเราแสดงออก
จุดยืน โดยที่ไม่ต้องมีแกนนำ หรือ ใช้ชื่อของคนหรือ สถาบันใดๆมาเกี่ยวข้องอยากให้เป็นภาพของจิตใจคนไทยอันบริสุทธิ์

เรา ไม่สบายใจที่สื่อ เรียกคนกลุ่มนี้
ว่ากลุ่ม "เสื้อหลากสี" ทั้งที่ความจริงแล้ว เราไม่ต้องการเน้นคำว่า
" เสื้อ " กับ " สี " ใดๆอีกแล้ว เพราะเราคือกลุ่มคนรักชาติ ต้องการนำความสงบกลับคืนมาเท่านั้น

และ บางครั้งที่สื่อนำคำสัมภาษณ์ของบางท่านในกลุ่มมานำเสนอ
จะพบว่า ยังมีบางท่านที่ แสดงออกไปในทิศทางที่แตกต่างออกไป
เช่น การกล่าวถึงผู้ชุมนุมเสื้อแดงไปในทางว่าร้าย โกรธเกลียด ดูหมิ่น

ซึ่งยิ่งจะเป็นการทำให้เกิดความแตกแยกของคนในชาติเพิ่มขึ้น
และยังเป็นจุด อ่อนที่จะทำให้แกนนำเสื้อแดง นำไปขยายความสร้าง
ความร้าวฉาน อันจะเป็นเหตุที่จะนำไปสู่ สิ่งที่น่ากลัวอย่าง "สงครามกลางเมือง" หรือโดนฝ่ายที่ไม่หวังดี ลอบทำร้ายได้

เราเชื่อว่าทุกท่านใน group นี้ มีเจตนารมย์ที่ดี และเข้าใจปัญหาที่กำลังเกิดขึ้น

อยากให้มองกลุ่ม คนเสื้อแดง ด้วยใจเมตตา ไม่โกรธเกลียดใครหรือฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง

ใช้หลักสันติธรรมฝ่าสถานการณ์รุนแรงนี้ เพราะพวกเขาก็คือคนไทย เหมือนๆกับเรา

แต่มีความเห็นต่างกันไป ด้วยถูกผู้ไม่หวังดี ปลุกปั่น ยั่วยุ ดังนั้นเราจึงไม่ควรเติมเชื้อไฟใดๆ ลงไปในกองเพลิงนั้นอีก เพราะจะเป็นการนำตัวเองไป "เข้าแผน" ของผู้ก่อความไม่สงบในครั้งนี้ ที่อยากเห็นคนไทยฆ่ากันเอง ทำลายชาติกันเอง

ขอให้พลังของพวกท่าน จงเป็นดั่งน้ำเย็นบริสุทธิ์ ที่จะใช้ดับไฟกองใหญ่นี้ ด้วยหัวใจรักชาติ และจงรักภักดีแท้จริง

อยากขอร้อง คุณหมอตุลย์ ขอท่านได้โปรดกรุณา แสดงตนเป็นเพียงกลุ่มคนไทยรักสันติ

ที่เข้าร่วม การแสดงออกเหมือนๆกับบุคคลอื่นๆเถิด ขออย่านำชื่อกลุ่ม สถาบันใดๆ

มาเกี่ยวข้องกับการในครั้งนี้เลย เวลานี้เราต้องการเพียงพลังบริสุทธิ์ในนามของ " คนไทย " เท่านั้น หากท่านต้องการนำกลุ่มใดๆ มาแสดงพลัง ก็ขอให้ท่านแยกตัวออกไปแสดงออกที่อื่นเถิด............

ไม่ทราบ สาเหตุว่าเหตุใดจึงโดนลบ ทั้งที่มีผู้เห็นด้วยกับความคิดนี้
ใน FB มากมาย

แต่บางคนเห็นว่า เรากำลังสร้างความแตกแยก ระหว่าง เสื้อหลากสี-หมอตุลย์-และกลุ่มพันธมิตร

ควรไม่ควร แล้วแต่ท่านจะพิจารณา
แก้ไข เมื่อ 26 เม.ย. 53 08:58:41
จากคุณ : pink cocktail

: 26 เม.ย. 53 08:57:06 A:118.174.34.109 X:

----------------------------------------------

ท่านผู้อ่านครับ หลังจากบทความนี้เผยแพร่ลงในพันทิพย์แค่วันเดียว ปรากฏว่า เฟรซบุ๊ค ของคุณคนนี้ โดนลบทันที เพราะมีคนมาแสดงความเห็นในทำนองว่า หมอตุลย์ และกลุ่มหลากสีก็คือพันธมิตรกลายพันธ์มา และถัดจากนั้น ชื่อและแอคเคาท์ของคุณผู้ตั้งกระทู้ ก็ถูกระงับการใช้เฟรซบุ๊ค และโดนตัดออกจากการเป็นสมาชิกถาวรของ เฟรซบุ๊คถาวรในทันที

เฮ้อ!... พันธมิตร เขายังขลังจริงๆ ครับ

อภิสิทธิ์ ต้องยุบสภาฯทันที



ต้องบอกว่าไม่ทิ้งลีลา “มาร์ค” จริงๆ ในการแถลงข่าวด่วนจาก ศอฉ. ค่ำวันจันทร์ที่ผ่านมา ว่ามีความตั้งใจจริงในการสร้างความสมานฉันท์ โดยจะให้มีการ ยุบสภา และจัดการเลือกตั้งเร็วที่สุดในวันที่ 14 พฤศจิกายน 2553

การแถลงการณ์นี้สร้างความประหลาดใจเล็กน้อยให้ผม เพราะตลอดวันที่ผ่านมาท่านนายกฯ และรองนายกฯ สุเทพ ก็แถลงข่าวรายชั่วโมงให้ร้ายในการจับอาวุธ ในการแถลงผลตรวจวิถีกระสุนในศพทหาร อีกสารพัด พร้อมกับประโคมภาพสื่อว่าจะนำรถหุ้มเกราะเข้าลุยปราบสลายม็อบให้เสร็จสิ้นก่อนวันที่ 5 พฤษภาคม

จากการโหมประโคมข่าว ข้อเท็จจริงปรากฏว่า เมื่อเวลาประมาณเที่ยง มีคนมาชุมนุมประมาณ 50,000 คน บ่ายสามโมงมีสายช่างภาพเดินรอบสถานที่รายงานว่า คนเข้ามาไม่ขาดสายสักประมาณ 70,000 คน ตอนค่ำ เห็นทหารตำรวจคึกคักตามจุดตรวจสำคัญสี่มุมเมือง รังสิต ปทุมฯ บางนา-ตราด ปิ่นเกล้า-นครชัยศรี พระรามสอง บางบัวทอง มีทหารเดินคึกคัก ตำรวจขวักไขว่ ยิ่งทำให้เสื้อแดงออกมาร่วม 100,000 คนในเวลาประมาณ สองทุ่มเศษ เขาคงประเมินก่อนว่าต้องการสลายด้วยอาวุธหนักดังที่ตั้งใจ ปรากฏว่าทุกข้อหาที่ใส่ร้ายรายวันแป๊กหมด สังคมไม่รับมุกด้วยจนวินาทีสุดท้าย ก่อนมีเสียงกระซิบดังๆ จนนายกฯ ตัดสินใจโยนหินถามทางยุบสภา

เงื่อนไขการยุบสภาของอภิสิทธิ์ ก็ไม่ได้วิเศษ หรือมีอะไรแปลกใหม่ เพราะหากกำหนดการเลือกตั้ง ที่กำหนดในวันที่ 14 พ.ย. เท่ากับจะต้องยุบสภาในวันที่ 14 ก.ย. อย่างช้า เท่ากับวันนี้นับไปอีกสี่เดือนเศษ ดังนั้น การยุบหรือไม่ยุบในเดือนกันยา ก็มีค่าเท่าเดิมครับ

เพราะอะไร?
1.เพราะอภิสิทธ์ สามารถแบ่งปันงบประมาณปี 53 ได้เสร็จเรียบร้อยอิ่มหมีพลีมัน
2.เพราะอภิสิทธ์ สามารถโยกย้ายข้าราชการทุกเหล่ากรมกองได้ทั้งหมดก่อนลงเลือกตั้ง
3.เพราะอภิสิทธ์ สามารถตั้ง พลเอกประยุทธ์ ดำรงตำแหน่ง ผบทบ. ได้ไม่พลิกโผทั้งที่มือเปื้อนเลือด
4.ก่อนการมีรัฐบาลใหม่ อภิสิทธ์และพรรคพวกก็ยังกินหัวคิวงบประมาณปี 54 ได้ในรูปของกินเงินสด แล้วเซ็นงบให้ทิ้งทวน


ท่านนายกฯครับ แล้วเหตุการณ์ 10 เมษายน ท่านจะไม่รับผิดชอบในฐานะฝ่ายการเมืองลงนามในคำสั่งสลายการชุมนุมเลยหรือครับ ผู้เสียชีวิตจนถึงวันนี้เกือบสามสิบคน

ท่านลอยหน้าลอยตาไม่ต้องรับผิดชอบเลยหรือ?

ท่านใส่ความเสื้อแดงรายวัน ตั้งแต่ชายชุดดำมีอาก้า วิ่งไล่จับตายอริสมันต์ที่เอสซีพาร์ค ยัดข้อหาก่อการร้ายในม็อบ ยัดข้อหาพกอาวุธปืนยิงวัดพระแก้ว ตั้งขบวนทหารสามกองพันยิงใส่เสื้อแดงที่อนุสรณ์สถาน แจกแผนผังขบวนการล้มเจ้า ทุกข้อหา มันหายไปไหนหมด ทำไมท่านไม่พูดถึงเลยหรือกับความตอแหลของท่าน ท่านจะเงียบดื้อๆให้หายไปเลยหรือ ท่านกล่าวหาข้อหาที่ร้ายแรงที่สุด ว่าเสื้อแดงล้มล้างสถาบัน จะให้เรื่องทั้งหมดเงียบหายไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นหรือ
ผมยังยืนยันคำเดิม

นายกฯ ต้องยุบสภาฯ และเดินทางออกนอกประเทศ ทันที