วันเสาร์ที่ 12 มิถุนายน พ.ศ. 2553

เมื่อฟ้าสีทอง ผ่องอำไพ


ประหลาดใจพอสมควรเมื่อรู้ว่า เสื้อแดงไปปิดล้อมอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิเมื่อช่วงบ่ายวันพฤหัสบดีก่อนสงกรานต์ นิสัยเดิม...เลิกงานปุ๊บ ... คว้ากล้องเชยๆตัวเดิมบึ่งรถขึ้นถนนบรมราชชนนี ไปลงพระราม๘ แล้วก็วกวนๆๆ ไปจนถึงด่านหน้าอนุสาวรีย์

กว่าหกโมงเย็น จอดรถไว้ที่ไกลๆ เดินจากด่านด้านนอก ซึ่งบอกไม่ถูกว่าจะเรียกว่าด่านอะไร แต่ขอบใจการ์ดเสื้อแดงเหลือเกิน ที่ให้สื่อเสื้อแดงตัวเล็กๆได้แบกกล้องสะพายขาตั้ง เดินดุ่มๆ เข้าไปดูสถานการณ์รอบๆ

มองไปรอบตัว ถนนทุกสายมุ่งเข้าอนุสาวรีย์ ถูกปิดด้วยรถแท็กซี่สารพัดสี คนเสื้อแดงทยอยมาจากทุกสารทิศ เดินเข้ามายังกลางลานอย่างต่อเนื่อง ทั้งที่ข่าวเพิ่งแพร่สะพัดไปได้สักสามชั่วโมง นักข่าวทั่วทุกสารทิศมาทั้งหนังสือพิมพ์ ทีวีโทรทัศน์ไทยเทศบนท้องฟ้ามีเฮลิคอปเตอร์บินวนไปมาตลอดเย็นถึงค่ำ

หมาน้อยถือโอกาสเดินสำรวจดูเสื้อแดงที่มาร่วมชุมนุม โดยเดินขึ้นสะพานลอยฝั่งราชวิถี สำรวจดูผู้คนอย่างต่อเนื่อง พลันสะดุดกับข้อความบนเสื้อสีดำ

“.. เมื่อฟ้าสีทองผ่องอำไพ ประชาชนย่อมเป็นใหญ่ในแผ่นดิน..”

เวลานั้น หมาน้อยแทบนึกไม่ออกเลยว่า แค่คล้อยหลังวันมหาสงกรานต์กลับกลายเป็นว่าคนเสื้อแดงต้องหนีแทบตาย หลบห่ากระสุนปืนหัวซุกหัวซุน

เราให้ความหวังแบบลมๆ แล้งๆ กันมาสามสิบกว่าปี ว่ายุคฟ้าสีทองผ่องอำไพกำลังจะมา รอมาจนบัดนี้ แต่ยิ่งรอฟ้าก็ยิ่งปิดมืดลงไปพร้อมกับพายุตั้งเค้า ลูกแล้วลูกเล่า วันนี้นอกจากฟ้าจะไม่ได้ผ่องอำไพแล้ว ฟ้าหลังฝนพายุจะสีอะไร หรือพายุนอกฤดูสารพัดลูก ไม่รู้ว่าพายุใครเป็นพายุใครวิ่งเข้าชนกันวุ่นวาย สายล่อฟ้าสายล่อสัญญาณพิเศษ แข่งกันส่งสัญญาณกับจานดาวเทียมสารพัดดวง เล่นเอาประชาชนไทยตาดำๆ อย่างหมาน้อยเริ่มไม่แน่ใจเองเสียแล้วว่า ฟ้าที่ว่าจะสีทองหรือสีอะไรนั้น ยังไม่สำคัญเท่ากับว่า ตกลงแล้ว

“ฟ้ายังคงเป็นฟ้าของเรา...... หรือเปล่า???”

น้ำตานางฟ้า



... เช้าตรู่วันที่ ๑๓ เมษายน ผมรีบคว้ากล้องคู่ใจราคาถูก ขึ้นรถแท็กซี่ไปยังทำเนียบรัฐบาลอีกครั้ง หลังรู้ข่าวทหารปะทะเสื้อแดงด่านดินแดง

ผมเดินเท้าจากสะพานพระราม ๘ ข้ามแม่น้ำเจ้าพระยา จนเข้ามาถึงหน้าเวที ผมเดินเข้ามาท่ามกลางข่าวลือสะพัดถึงการปะทะ การเสียชีวิต และบาดเจ็บของพี่น้องเสื้อแดงด้วยความเจ็บปวด เมื่อเจอเพื่อนร่วมอุดมการณ์ ผมโผเข้ากอดอย่างดีใจที่เขายังปลอดภัย ทุกคนขวัญกำลังใจดีมาก และมุ่งมั่นต่อสู้ ไม่ยอมถอยจากสถานที่ชุมนุม

กางเกงเปื้อนเลือด รอยรูกระสุนกางเกง กระสุนปืนจากที่เกิดเหตุ ถูกทยอยนำมาแสดงบนเวที ภาพคนบาดเจ็บจากกระสุน ถูกลำเลียงผ่านหลังเวทีคนแล้วคนเล่า

พี่น้องเสื้อแดงส่งสายตามายังผมด้วยความเจ็บปวดเมื่อเห็นวัตถุพยานแห่งความชั่วร้ายต่างๆบนเวที เธอคนนี้ยืนร้องเพลงอยู่หน้าสุดของเวที รอยคล้ำบ่งบอกถึงการอดหลับอดนอนตลอดคืนอันวุ่นวายที่ผ่านมา สายตาเธอแดงเรื่อๆ พร้อมน้ำตารินรดลงอาบแก้ม เมื่อเห็นกางเกงเปื้อนเลือดและรอยกระสุนบนเวที ความสลด เข้าเกาะกุมหัวใจผมทันที

...เราทำกันได้เพียงนี้เชียวหรือ?

อำมาตย์ ทหารกล้าฆ่าคนไทยเสื้อแดงสองมือเปล่า โดยไม่มีทางสู้เลยหรือ....
อำมาตย์ ทหาร ไม่มีสำนึกความเป็นคน เหลืออยู่ในจิตใจแม้แต่นักน้อยนิดเลยหรือ.....

น้ำตาผมรดลงแก้มอย่างไม่อายใครบนเวทีขณะถ่ายภาพนั้น

เราเคยมีนางฟ้างดงามในใจ แต่น้ำตานางฟ้าเสื้อแดงคนนี้ ทำให้ผมสำนึกได้ว่า เธอต่างหากเล่า คือ “ ... นางฟ้าตัวจริง...”

เลิกทาสกันแล้วหรือยัง?


ค่ำวันอาทิตย์ที่ ๑๑ ตุลาคม หมาน้อยเสื้อแดงน้อยๆ อย่างผม เดินต้อยๆ ไปอนุสาวรีย์ประชาธิปไตยด้วยความเริงร่า ท่ามกลางข่าวระเบิดรถตู้ที่สื่อหลักโหมประโคมตลอดทั้งวัน เป็นระยะ ๆ ความอยากรู้อยากเห็นรถตู้คันเกิดเหตุระเบิดและเพลิงไหม้หน้ากองสลากฯ เลยลดลงไป ไปดูแล้วก็ไม่ได้ใส่ใจอยากถามไถ่ว่าเกิดได้อย่างไร

ผมเดินวนไปมารอบ ๆ ที่ชุมนุมเพื่อสังเกตดูพ่อค้าแม่ขาย ดูพี่น้องเสื้อแดงเดินเท้ามา นั่งรถโดยสารมา ทยอยมาแต่เย็นจนสองทุ่มไปแล้ว ก็ยังเห็นคนมาเป็นระยะๆ ผมเดินไปหน้าด่านทางผ่านฟ้าสังเกตการณ์ ได้ข่าวว่า พี่ๆ การ์ดอาสา พร้อมกับทหารพรานที่มารักษาความปลอดภัยให้ พบกับรถมอเตอร์ไซด์น่าสงสัยสามคันพร้อมกับคนขับขี่นั่งซ้อนสองคนมาขี่วนเวียนอยู่ทางผ่านฟ้า พร้อมด่าทอแจกของดีกันสองสามรอบ

ชินแล้วครับ กับวิธีสกปรกนี้!!!

คณะผู้อภิวัฒน์ประชาธิปไตยเมื่อเจ็ดสิบกว่าปีที่แล้ว ดั้นด้นเสี่ยงชีวิตยึดอำนาจการปกครองมา แล้วเปลี่ยนเป็นระบอบประชาธิปไตย โดยหวังให้เกิดความเท่าเทียมกัน ผู้อภิวัฒน์การเปลี่ยนแปลงในครั้งนี้พยายามสลัดคราบอำมาตย์ออกจากวิถีความเป็นอยู่ของคนไทย แต่ดูเหมือนคนไทยเองยังรักที่จะเป็น “ทาส” อยู่ไม่หาย

คนไทยยังรักที่จะร่ำเรียนเพื่อเป็น “เจ้าคน นายคน” โดยหวังลึกๆจะได้บังคับบัญชา มีอำนาจสั่งเป็นสั่งตาย

คนไทยยังเรียกหัวหน้าตัวเองว่า “เจ้านาย” ด้วยเห็นว่า เจ้านายคือทุกสิ่ง เอาใจเข้าไว้จะเติบโต

คนไทยยังหวังทำงานกินเงินเดือนหรือให้รัฐเลี้ยงโดยขาดความกระตือรือร้นในการแสวงหาความก้าวหน้าในชีวิตด้วยความใฝ่รู้ ทำงานหวังเงินเดือนไปวันๆโดยไม่คิดพัฒนาผลงานตัวเอง คอยแต่จะพูดว่า “จะให้ทำอะไร ท่านก็สั่งมาสิครับ”

คนไทยยังเพรียกเรียกหาหัวหน้า หรือ “เทวดา” มาเพื่อหวังคุ้มกะลาหัว หรือเอาเทวดามาไว้เป็นแพะรับบาป ว่าชีวิตตนตกอับเพราะเทพไม่ดลบันดาล แต่ไม่ได้หันดูตัวเอง หวังพึ่งคนอื่นเป็นร่มโพธิ์ร่มไทร เลยพาลไถลไปไกลพึ่งพา “ไสยศาสตร์” ด้วยคำพูดสุดคลาสสิคว่า “ไม่เชื่อ อย่าลบหลู่”

ยุคนี้ พ.ศ.นี้ เทวดาก็ตกสวรรค์ นายกฯ ก็เอาแต่กู้ สาระชาติไทยวนเวียนกับ ด.ช.เคอิโงะกับหลินฮุ้ย คนไทยจะหวังพึ่งพาอะไรไม่ได้แล้วก็ไม่เหลืออะไรให้พอพึ่งพิงได้ ลัทธิชาตินิยมก็โผล่มาทุกที ใครเชื่อตามก็เป็นคนดีของชาติ ใครไม่เชื่อก็จะโดนคำถามคลาสสิคสุดๆว่า “เอ็งคนไทยหรือเปล่า?”

สังเกตว่านิสัยการพึ่งพาบุคคลรอบข้าง บนบานสิ่งศักสิทธิ์ รวมทั้งหาพรรคหาพวกเพื่อแสดงถึงความเห็นอันเป็นกลุ่มก้อนโดยอาศัยความเป็นชาตินิยมเดียวกัน แสดงถึงความเป็นทาสในใจ ที่ไม่ต้องการค้นหาอิสรภาพให้กับชีวิต ให้จิตใจ และไม่ยอมคิดค้นหาอิสรภาพอย่างแท้จริงให้กับอุดมการณ์ความคิดของตนเองเลย

เขาเลิกทาสกันทางนิตินัยมาร้อยกว่าปีแล้ว แต่โดยพฤตินัย คนไทยทุกวันนี้สมัครใจเป็นทาสแก่กันและกันโดยสมบูรณ์ เมื่อไหร่เราจะเลิกทาสกันได้จริงๆสักทีครับ

เพราะไม่มีความยุติธรรม??


ตลอดสัปดาห์อันวุ่นวายในตลาดหลักทรัพย์ หุ้นตกกระจายสองวันติดๆ จากข่าวลือว่อนตลาดหลักทรัพย์ หมาน้อยไม่รู้เรื่องหุ้น รู้แต่เรื่องหวย นึกขึ้นได้หมาน้อยจึงรีบตีเลขจากข่าวลือฝากเพื่อนไปแทง สรุปว่าหวยแทงหมาน้อยซะพรุนเลยครับ

เรื่องข่าวลือในบ้านเรานี้ จะว่าแปลกก็แปลกครับ เพราะคำว่าข่าวลือมันควรเป็นข่าวที่ไร้สาระ หาที่มามูลเหตุไม่ได้ หาความจริงไม่ได้ แต่ข่าวลือบ้านเรานั้นแปลกกว่า ตรงที่มักพูดกันในเรื่องห้ามพูดเรื่องไม่ควรพูด เมื่อมีข่าวลือกันเรื่องใด อนาคตก็จะพิสูจน์ให้เห็นอยู่เสมอว่าข่าวลือนั้นๆ เป็นเรื่องจริง

จบเรื่องข่าวลือดีกว่าครับ หมาน้อยอยากพูดเรื่องข่าวจริงมากกว่า

ข่าวการชุมนุมคนเสื้อแดงเพื่อทวงถามเรื่องฎีกากับรัฐบาล หน้าทำเนียบรัฐบาลเมื่อค่ำวันเสาร์ที่ ๑๗ ตุลาคม
หมาน้อยคิดว่าคนจะมาไม่มากดูกระแสแล้วจะมีแค่พี่น้องเสื้อแดงกรุงเทพและปริมณฑลมาร่วม

หมาน้อยไปถึงสะพานมัฆวานรังสรรค์ราวสี่โมงเย็น ที่จอดรถเต็มแล้วครับ ไม่ได้จอดที่จอดรถใหนหรอกจอดกลางสะพานเลย
หมาน้อยเดินต้อยๆ สังเกตรอบๆ บริเวณไปตลอดจากสะพานมัฆวาน พ่อค้าแม่ขายเข็นข้าวของมาขาย คนเสื้อแดงก็ร่ำรวยช่วยซื้อทุกอย่างสีแดงที่ขวางหน้า พอเลี้ยวขวาเข้าถนนพิษณุโลก พี่การ์ดก็ทำงานอย่างเข้มข้นตรวจสิ่งของทุกอย่างเพื่อให้ผู้มาชุมนุมได้มั่นใจในความปลอดภัย ขอขอบคุณในน้ำใจจริงๆ ไว้มีโอกาสหมาน้อยจะไปด้อมๆ สัมภาษณ์พี่การ์ดมาให้ อิอิ



ระยะทางแค่ห้าร้อยเมตรจากหน้าเวทีทอดลงถนนพิษณุโลก หมาน้อยคลานต้วมเตี้ยมเบียดเสียดมากกว่า ๓๐ นาที จนลิ้นห้อย พลางนึกในใจว่าพี่น้องเสื้อแดงจะมาทำไมหนักหนาน้อ.... ไม่เคยเร๊ยยยย มางานเสื้อแดงแล้วเดินแบบโล่งๆ ต้องเบียดต้องอัดยัดแน่นแล้วแน่นอีกพร้อมเสียงหัวใจแดงตบตลอดทาง มาได้จวนหน้าเวที หมาน้อยต้องหนีคนโดยปีนขึ้นนั่งร้านจอโปรเจคเตอร์ เพื่อดูภาพมุมสูง หมาน้อยมาพอดีจังหวะเลยครับ ตำรวจกับหน่วยสันติวิธี ซึ่งเป็นกองกำลังสันติชาวเสื้อแดงกำลังผลักดันกันอยู่ตรงด่านหัวถนนหน้าทำเนียบรัฐบาล ผลักดันกันสักพัก การเจรจาสรุปว่า ตำรวจจะเปิดพื้นที่ให้สักพอประมาณให้เสื้อแดงขยายเข้าไปนั่งลดความแออัดบริเวณหน้าเวที หมาน้อยตั้งกล้องไว้หลายนาทีเพื่อสังเกตการณ์ เพราะหากมีเหตุการณ์ใดรุนแรงจะได้มีภาพไว้เป็นหลักฐาน จากนั้นหมาน้อยก็ดิ้นหัวสั่นหัวคลอนส่ายสะโพกกระดิกหางไปกับเพลง "รักคนเสื้อแดง" สองรอบที่ร้องปลุกใจไม่ให้เสื้อแดงเครียดเกินไป

หลุดจากหน้าเวทีก็ปีนข้ามคลอง อิอิ หมาน้อยถนัด สี่เท้าโกยอ้าวข้ามสะพาน เล็ดลอดขาการ์ดเพราะตัวเตี้ย เข้าหลังเวทีไปหลบอยู่หน้าเวทีหอบแฮกๆๆ

หมาน้อยหันรีหันขวางพลางสบตากับคุณลุงแก่ๆ คนหนึ่งนั่งหน้าเวทีเกาะรั้วเหล็กไว้ หมาน้อยนั่งแอบมองอยู่เป็นนาน คุณลุงเปลี่ยนท่านั่งยองๆ มาเป็นยืดขาเป็นระยะๆ หมาน้อยเองชอบคุยกับคนมีอายุ เพราะหมาน้อยสมัยเอ๊าะๆ อยู่กับยายทองปูน เลยคุ้นเคยและเข้าใจคนสูงอายุเสมอ

คุณลุงเจ็ดสิบสี่ปี บ้านอยู่แถวสวนพลู (หากฟังไม่ผิดเพราะคุยกันข้างลำโพงใหญ่) กรุงเทพมหานคร คุณลุงหอบสังขารมาร่วมชุมนุมเสื้อแดงทุกครั้งด้วยหัวใจเต็มร้อย และทุกงาน น้ำท่วมที่หน้าลานพระรูปฯ เมื่อวันที่ ๑๙ กันยายนเนื่องในโอกาสครบรอบ ๓ ปีวันรัฐประหารที่ผ่านมาลุงก็ไปยืนขาจมน้ำแถวนั้น

๑๓ เมษายนเลือด ใครก็ไม่นึกฝันว่าลุงคนนี้จะยืนกระแหย่งๆๆ เดินเล็ดลอดเข้ามายืนอยู่บริเวณหน้าทำเนียบประจัญหน้ากับทหารหาญชาติไทยถือปืนเอ็มสิบหกที่พร้อมยิงคนแก่วัยเจ็ดสิบกว่าให้ตายคาหน้าด่าน

คุณลุงเล่าว่า อายุลุงจะแปดสิบปี ลุงไม่เคยเจอนายกรัฐมนตรีคนใหนในชีวิตที่จะรักและทำงานให้กับคนยากคนจน คนชั้นกลางอย่างจริงใจเท่ากับนายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตร ตลอดชีวิตลุงที่อาศัยในผืนแผ่นดินไทยไม่เคยเห็นหรือจดจำผลงานของนายกคนใหนได้เท่าผลงานของท่านทักษิณ ลุงเล่าผลงานได้ทั้งหมดอย่างละเอียด นายกฯ คนอื่นๆ ทำงานผ่านๆ ไป ไม่มีผลงานความเปลี่ยนแปลงใดๆ ให้กับชาติบ้านเมือง มีแต่เรื่องราวทุจริตโกงกิน คุณลุงถามกลับว่า ที่บอกว่าทักษิณโกงน่ะ ที่สุดผ่านมาสามปี ศาลยังไม่กล้าตัดสินให้ท่านผิดฐานโกงกล้ายางเลย ซีทีเอ็กซ์ก็ไม่กล้าส่งฟ้อง ตกลงใครโกงใครกันแน่

ถามต่อว่า คุณลุงรักนายกฯ ทักษิณใหม คำตอบที่ทำให้หมาน้อยน้ำตาซึมหางกระดิก ก็คือ "หากลุงไม่รัก ลุงจะมานั่งอยู่บนถนนตากแดด ตากฝนอย่างนี้หรือ ชีวิตนี้ลุงก็ให้ท่านได้ ลุงได้แต่ฝันให้ท่านกลับมาเมืองไทยอีกครั้ง มาเป็นนายกรัฐมนตรีของคนไทยก่อนลุงจะแก่ไปกว่านี้"

ท้ายสุดหมาน้อยถามคุณลุงว่า แล้วทั้งหมดของเหตุผลที่คุณลุงออกมาใส่เสื้อแดงทนลำบากนั่งกลางถนนคืออะไร คุณลุงตอบหมาน้อยด้วยสายตามุ่งมั่น น้ำเสียงคมกริบในวัยร่วมแปดสิบว่า "เพราะความไม่ยุติธรรมในแผ่นดินไงละหลาน"

ชัดใหมเล่าครับ ท่านอำมาตย์
โฮ่ง โฮ่ง จบข่าว!!!

ตะลอนทัวร์ภูเก็ต



หมาน้อยยื่นใบลาพักร้อน (ตอนหน้าฝน) ไปงานเทศกาลถือศีล กินผักเมืองภูเก็ตเมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา เทศกาลถือศีลกินผักหรือเรียกสั้นๆว่ากินเจภูเก็ต เป็นเทศกาลที่ผู้คนทั้งเกาะภูเก็ตจะร่วมใจกันทานเจ ใส่ชุดขาว ปฏิบัติธรรมและมีพิธีกรรมต่างที่แสดงถึงอิทธิฤทธิ์ของม้าทรง หรือเทพเจ้าตามความเชื่อ เช่น ปีนบันไดมีด ลุยไฟ อาบน้ำมันร้อน แห่พระรอบเมือง รวมระยะเวลา ๙ วัน ๙ คืน

หมาน้อยได้เจอเพื่อนฝูง เพื่อนเสื้อแดงภูเก็ต ตลอดจนคนขับมอเตอร์ไซด์รับจ้างที่มีน้ำใจสร้างความประทัปใจให้หมาน้อยมาก

เทศกาล ปีนี้หมาน้อยรู้สึกเลยว่าเงียบเหงามากกว่าทุกๆปี หมาน้อยไม่เคยเดินถ่ายภาพกลางเมืองได้โล่งขนาดนี้ คนน้อยลงไปมาก นักท่องเที่ยวที่เข้ามาเที่ยวหน้าเจ คือนักท่องเที่ยวมาเลเซีย จีน ไต้หวัน ฮ่องกง ยังไม่มาเที่ยวกันทั้งที่เป็นเทศกาลใหญ่แล้วราคาห้องพักรวมค่าใช้จ่ายไม่แพง เลยสำหรับนักท่องเที่ยวแสนประหยัดกลุ่มเอเซีย

หมาน้อยได้คุยกับหลายๆ คน ทั้งที่สายเลือดสีฟ้าพระแม่ธรณีประชาธิปัติย์เข้าเส้น แต่กลับบ่นก่นด่าเชิงเกรงใจเล็กน้อยว่ารัฐบาลไม่มีฝีมือ

ได้โอภาปราศัย กับหลายท่านที่ประสงค์เอ่ยปากแต่ไม่ประสงค์เอ่ยนาม บอกเล่าให้ฟังว่าสาเหตุหลักเกิดจากการปิดสนามบินภูเก็ตบ้านตัวเอง เนื้อความมีว่าผู้มีอิทธิพลท้องถิ่นเชื้อสายพันธมิตรแจ้งให้ชาวบ้านตามชุมชน ต่างๆ โดยเฉพาะคนขับรถแท็กซี่หน้าหาด มอเตอร์ไซด์รับจ้างไปร่วมกันปิดสนามบิน โดยบอกกล่าวล่วงหน้า ๑ วัน อีกทั้งการปิดไม่ใช่แค่สนามบินเดียว แต่วางแผนลามไปถึงพังงา กระบี่ หาดใหญ่ ซึ่งเป็นจังหวัดสำคัญด้านท่องเที่ยวภาคใต้ทั้งสิ้น ชาวบ้านที่ไม่ได้คิดหน้าคิดหลังก็ไปโดยหวังเงินค่าจ้างและสนุกสนานแก้เซ็ง แต่หารู้ไม่ว่าเป็นการทุบหม้อข้าวตัวเองอย่างแรง มันเป็นการแสดงให้เห็นว่าเป็นการกระทำที่มีการวางแผนไว้ล่วงหน้า เตรียมผู้คน จัดหาวิธีการ เรียกสื่อไปทำข่าวตีพิมพ์ไปทั่วโลก ไม่ใช่ทำเพราะอารมณ์ชั่ววูบ อีกทั้งคนทั่วเกาะภูเก็ต เสพข่าวสารจาก "เดอะลิ้ม แอนด์ เดอะแก๊ง" ทั้งเกาะ ทุกย่านร้านค้าเปิดทีวีหน้าร้านให้ลูกค้าดู ล้างสมองกันทั้งวันทั้งคืน อย่าลืมน่ะครับเขาไม่ได้อยู่ดีๆ อยากดู เดอะลิ้มขึ้นมา หากไม่ใช่เพราะเดอะลิ้มกับเดอะมาร์คคืออันเดียวกัน เวลานั้น ปชป.คือ พธม. และ พธม.คือ ปชป. นักการเมืองท้องถิ่นสนับสนุนทุกวิถีทาง บริการรถทัวร์อย่างดีวิ่งขึ้นล่องมาหน้าทำเีนียบ หมาน้อยยังเคยกลมกลืนร่วมวงมาด้วย จนกระทั่งเดินด้อมๆ เข้าทำเีนียบไปกะเขา จะสมน้ำหน้าหรือสงสารดี

ด้านการค้าขายตอนนี้ หลายคนเล่าให้ฟังว่า ไม่เคยต้องชักเนื้อกินของเก่าเลย ปกติจะมีเงินหมุนเวียนใช้จ่ายสบาย และเหลือเก็บใช้ตลอดปีจากตอนหน้าไฮด์ซีซั่น แต่ปีนี้ปีแรกที่ต้องเอาเงินเก็บมาจ่ายค่ากินค่าอยู่ ขายได้แค่ค่าเช่า หลายคนเคยเอาเงินจากวิ่งรถไปผ่อน ตอนนี้ต้องเอาเงินเก็บไปจ่ายค่าผ่อน บางคนมีร้านค้าเล็กๆ ตามห้างเซ็นทรัล โลตัส หน้าหาด ๔ ถึง ๕ ร้านค้า ต้องรีบปิดหนีตายเหลือสองร้านภายใน ๑ ปี

ภูเก็ตวันนี้ เหลือแขกเข้าพักไม่เกิน ๓๐ เปอร์เซนโดยประมาณ ทั้งที่หลังธรณีพิบัติภัย แขกยังมีกว่า ๖๐ เปอร์เซนต์
ภูเก็ตวันนี้ ร้านค้าต่างๆ ของคนรู้จัก ทยอยปิดตัวไปมากกว่า ๕๐ เปอร์เซน โดยเฉพาะร้านขนาดเล็ก แล้วก็หน้าใหม่ก็เข้ามาเปิดแทนที่เพื่อรอความฝันหน้าไฮน์ซีซั่น (หน้าไฮด์ปีที่แล้ว ล่มเพราะพันธมิตรปิดสนามบินภาคใต้ และสุวรรณภูมิ ล่าสุดเห็นว่าแขกหน้าไฮด์ซีซั่นปีนี้ ยังไม่จองกันเท่าไรทั้งที่จะเข้าเดือนพฤศจิกายนแล้ว)
ภูเก็ตวันนี้ คนขับมอเตอร์ไซด์รับจ้าง เคยมีรายได้ ๘๐๐ ถึง ๑๒๐๐ บาทต่อวันอย่างน้อย วันนี้แค่ ๓๐๐ บาทยังหายาก
ภูเก็ตวันนี้ อาหารเจจานละ ๕๐ บาท จากงานเจปีก่อน ๔๐ บาท
ภูเก็ตวันนี้ ค่าเช่ารถมอเตอร์ไซด์หมาน้อย ลดสุดๆ เหลือ ๑๕๐ บาท จาก ๒๕๐ บาท

ท่านรัฐบาลทั้งหลายยังเที่ยวหลอก ชาวบ้านอยู่ได้ว่าเศรษฐกิจดีขึ้น แขกกลับมาจองแล้วมากกว่า ๘๐ เปอร์เซน ไม่รู้เอาตาที่ใหนไปดู เอาหูที่ใหนไปฟังข้าราชการชะเลียข้อมูล

หมาน้อยเห่าพอเหนื่อยแล้ว ไปจุดประทัดต่อดีกว่า

วันนี้อยากให้คน ภูเก็ตและภาคใต้คิดใหม่จริงๆ

หนูยิ้มพิมพ์ใจ



หมาน้อยเจอคุณน้องยิ้ม เมื่อตอนคุณน้องยิ้มขึ้นเวทีเสื้อแดงครั้งแรกๆ เมื่อประมาณวันที่ ๒๖ มีนาคม หน้าทำเนียบรัฐบาล
หมาน้อยได้ยินเสียงของเธอครั้งแรก ก็เมื่อครั้งเธออภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลอภิสิทธิ์ เมื่อประมาณวันที่ ๒๐ มีนาคม ๒๕๕๒ หมาน้อยไม่ได้รู้จักเธอมาก่อนเลย ได้ยินชื่อเธอแล้วก็ "เฉย เฉย"


เริ่มพูดไปอ่านโพยไปก็รู้สึก "เฉย เฉย" แต่ยิ่งพูด ยิ่งมันส์ ได้ลีลาอารมณ์อย่างไม่ได้คาดคิด

เธอคือ "วิสาระดี" เธอก้าวมายืนข้างหน้าไม่ใช่เพราะโชคช่วย เธอคลุกคลีอยู่กับการเมืองเพราะคุณพ่อเธอเป็น สส. เชียงราย คุณแม่เป็นสมาชิกสภาจังหวัด คุณอาก็เป็นสมาชิกวุฒิสภา เธอจึงเติบโตมาในสิ่งแวดล้อมการเมือง
เธอจบการศึกษาจากอังกฤษ และมาสมัครผู้แทนราษฏรแทนพ่อซึ่งถูกตัดสิทธิ์ทางการเมืองสมัยพรรคไทยรักไทย เธอลงสมัครและลงพื้นที่หาเสียงด้วยสโลแกนติดปากว่า "ขออาสาฮับไจ้แทนป้อ" เธอได้เข้าสู่สภาเมื่อปลายธันวาคมปี ๕๐ ต่อมาพรรคพลังประชาชนโดนยุบ เธอจึงย้ายสังกัดเข้าพรรคเพื่อไทย และได้รับมอบหมายให้อภิปราย นายกษิต ภิรมย์ รมต.ต่างประเทศ ผู้หญิงตัวเล็กๆ หน้าหวานๆ ชื่อยิ้มๆ กลับซ่อนคมดาบไว้เชือดเฉือนคุณกษิตเสียจนคู่กรณีอย่างคุณรังสิมา แห่งพรรคประชาธิปปัตย์ ทนไม่ได้ต้องลุกขึ้นประท้วงเธอจนทุกสายตาต้องหันมาจ้องที่เธอ ทุกสถานีโทรทัศน์ หนังสือพิมพ์ ลงข่าว ภาพเธอทุกฉบับทุกคำปราศรัย แค่ข้ามคืน เธอกลายเป็น ท๊อกออฟเดอะทาว ด้วยรอยยิ้มที่สวยหวาน น่ารักแต่สอดใส้ความคมชัด จัดเจนในสภาฯ

หมาน้อยเห่าโฮ่งๆ ให้เจ้านายเปิดดูเวลาเธออภิปรายในสภา หมาน้อยจำได้ว่านั่งตากลมฟังเธอปราศรัยหูกระดกหางกระดิก เธอประหม่านิดๆ เสียงสั่นๆ หน่อยๆ แต่เธอก็สะกดความกลัวแปรเปลี่ยนเป็นความกล้า เธอแฉคุณกษิต มีเอี่ยวกับนายแป็บซี่เรื่องค้าเงินตลาดมืด ไถเปียโนอ้างจะไปให้ผู้ใหญ่แต่ดันไปโผล่ในบ้านคุณกษิตตอนไปถ่ายออกรายการทีวี ตลอดจนไปดูถูกพระระดับเลขานุการในสมเด็จพระสังฆราชที่เดินทางไปเผยแผ่พระพุทธศาสนาในต่างประเทศว่า "หลวงพ่อ มาหากินไกลจริงน่ะ" ยังไม่นับไปกราบนับถือนักบวชนอกรีตสังกัดโพธิรักษ์ เธอพูดนิ่งๆ แต่เล่นเอาสภาสั่นสะเทือนเพราะเธอพูดแต่ "ความจริง และตรงประเด็น" หมาน้อยได้ฟังแล้ว "งี๊ดง๊าดดด" กับคารมของเธอ

หมาน้อยเจอตัวเป็นๆ สวยๆ ของเธอบนเวทีเสื้อแดง เธอขึ้นอภิปรายแนะนำตัวพร้อมปราศัยสั้นๆบนเวทีว่า
"ขอกราบสวัสดีพี่น้องชาวเสื้อแดงทุกท่านค่ะ น้องต้องขอกราบสวัสดีพี่น้องชาวเสื้อแดงที่รักประชาธิปไตยทุกท่านค่ะ ตัวยิ้มเองก็อยากจะขอเป็นกำลังใจให้ทุกท่านสู้ เรียกร้อง ประชาธิปไตยของเรากลับคืนมา ให้ได้น่ะค่ะ ขอบคุณค่ะ" คำปราศรัยเรียกเสียงกรี๊ดจากพี่น้องเสื้อแดงถล่มทลายด้วยความน่ารัก และกึ๋นของเธอ

หมาน้อยฟังเธอแล้วก็ดีใจที่บ้านเรามี สส.คุณภาพเช่นเธอ แต่ก็เสียใจเพราะเธอกำลัง "สละโสด"

ลุงนวมทอง ไพรวัลย์


เมื่อเอ่ยถึงคำว่า "วีรบุรุษ" แล้ว สำหรับคนไทยทั่วไปก็มักนึกไปถึงบุคคลในประวัติศาสตร์ ที่เป็นแม่ทัพนายกอง เจ้าพระยามหากษัตริย์ ตลอดจนหมู่ประชาชนผู้มีส่วนในการต่อสู้รักษาเอกราชกอบกู้บ้านเมืองหรือท้องถิ่นอาศัย หลายครั้งที่มีนักประวัติศาสตร์สมัยใหม่เริ่มตั้งข้อสงสัยเกี่ยวกับเรื่อง ราวเหตุการณ์หรือประวัติของวีรบุรุษในอดีต เช่นบุคคลเหล่านั้นมีตัวตนจริงทางประวัติศาสตร์หรือไม่? หรือได้มีเหตุการณ์สำคัญจริงเหมือนที่ได้ศึกษาเล่าเรียนมาหรือเปล่า?

อีกทั้งเมื่อมองไปถึง "ผู้เขียน" หลักฐานทางประวัติศาสตร์ก็เกี่ยวพันกับเจ้าพระยามหากษัตริย์ หรือผู้ชนะศึกสงครามไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง ดังนั้นจึงปฏิเสธไม่ได้ว่า "ผู้ชนะเป็นผู้เขียนประวัติศาสตร์" เมื่อผู้ชนะเป็นผู้เขียนก็ย่อมเขียนในมิติของตน น้อยครั้งเหลือประมาณที่จะเขียนในมิติของสังคมหรือประชาชน
ยุค ปัจจุบัน หมาน้อยคิดว่าประชาชนอย่างเราๆท่านๆ คงจะเป็นวีรบุรุษกับเขายากหน่อย ที่พอมีเอ่ยอ้างเป็นวีรบุรุษของชาติ ก็จะเป็นทหาร ตำรวจ เจ้าหน้าที่ผู้สละชีพปกป้องเอกราช ผู้รักษาความสงบในภาคใต้ ภาคประชาชนหากไม่นับเหตุการณ์เดือนตุลาคมแล้ว ก็คงเป็นนักกีฬาเหรียญทองโอลิมปิค แล้วก็คุณครูจูหลิง ปงคำมูล ที่เป็นราษฎรประชาชนธรรมดา ที่สังคมให้ความรักและยกย่องด้วยใจ

วีรบุรุษ ในใจคนรักประชาธิปไตยอีกท่านหนึ่ง "นวมทอง ไพรวัลย์" คนขับแท็กซี่ที่ทนไม่ได้กับการรัฐประหารของคณะ คมช. คงไม่ต้องเอ่ยว่าท่านเสียชีวิตเช่นไรเพราะจักสร้างความสลดใจให้กับครอบครัว และคนที่รักท่าน หมาน้อยได้ไปร่วมงานทำบุญอุทิศส่วนกุศลเนื่องในวันครบรอบวันถึงแก่กรรม ๓ ปี ที่บริเวณสะพานลอยข้ามถนน หน้าสำนักงานหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ ถนนวิภาวดีรังสิตช่วงเช้าวันที่ ๓๑ ตุลาคมที่ผ่านมา

หมาน้อยและ เพื่อนๆผู้รักประชาธิปไตย ได้ใช้เวลาสั้นๆ สักสองชั่วโมง ในการรำลึกถึงเหตุการณ์เมื่อสามปีก่อน แกนนำหลายท่านได้มาร่วมกันทำบุญถวายจตุปัจจัยไทยทานแด่พระสงฆ์ และกรวดน้ำอุทิศแด่คุณลุง ผู้จัดได้ติดป้ายไว้อาลัยและวางดอกไม้ ณ จุดบริเวณที่ท่านลาโลกนี้ และร่วมยืนไว้อาลัยเป็นเวลาสั้นๆ เพื่อรำลึกถึงท่าน หมาน้อยเองไม่ได้รู้จักคุณลุงเป็นการส่วนตัว แต่จากจดหมายฉบับสุดท้ายที่คุณลุงเขียนไว้สั่งเสียก่อนจะลาโลก ได้ทำให้หมาน้อยรู้สึกเสมอว่า หมาน้อยจะนั่งเกาคางหาเห็บหมัดไม่ได้แล้ว หมาน้อยขอถือโอกาสนี้นำจดหมายฉบับสุดท้ายของคุณลุงมาลงไว้ ณ ที่นี้เพื่อเป็นอนุสรณ์แด่คุณลุงนวมทองในโอกาสวันครบรอบวันเสียชีวิต ๓๑ ตุลาคมดังนี้

"เทิดทูนชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ รัฐทหารและรัฐตำรวจ (ต้องไม่มี)

สวัสดีครับท่านพี่น้องประชาชนที่ เคารพ เหตุที่กระผมทำการพลีชีพเป็นครั้งที่ 2 โดยการทำลายตัวเองเพื่อมิให้เสียทรัพย์เหมือนครั้งแรกก็เพื่อลบคำสบประมาท ของท่านรองโฆษก คปค.ที่ให้สัมภาษณ์หนังสือพิมพ์หลายฉบับว่า "ไม่มีใครมีอุดมการณ์มากขนาดยอมพลีชีพได้"

เหตุพลีชีพครั้งแรกของผมยอม รับว่าคำณวนความเร็วของรถแท็กซี่ผิดพลาด รถถังที่จอดลานพระบรมรูปทรงม้าติดด้านหัวถนราชดำเนินนอก เมื่อผมขับรถผ่านกองบัญชาการทัพบกพ้นหัวถนนและเกาะกลางถนนเพื่อพุ่งเข้าชน เพื่อหักเลี้ยวแบบตัว S ความเร็วจึงลดลงมากเพราะต้องการชนแบบประสานงาน

ผม จึงแค่บาดเจ็บสาหัส ซี่โครงหัก 5 ซี่ ตาซ้ายบวมช้ำคางทะลุถึงภายในช่องปาก รักษาตัวโรงพยาบาลวชิรฯ มีคณะของคุณครูประทีป ฮาตะ และคณะอื่นๆ มาเยี่ยมหลายคณะและมีผู้สื่อข่าว นสพ. มาขอสัมภาษณ์ว่า ไม่พอใจหรือที่ปฏิรูปแล้วบ้านเมืองสงบสุข ไม่มีการนองเลือด ผมตอบไปว่าใครทำผิดกฎหมายและก่อความไม่สงบก็ต้องดำเนินการตามกฎหมาย ที่ผ่านมามีเบื้องหลังเบื้องลึกมากมาย ตอนนี้ก็เปิดหน้ากากออกมาจนเกือบหมดแล้ว เป็นการตบหน้าประชาชนอย่างไม่อาย. แต่ไม่เห็นเป็นข่าวรวมทั้งข่าวของผมที่ชนรถถังเพื่อประท้วง คปค. ลงข่าว นสพ. วันเดียวเงียบหายไปเลย ผมรักษาตัวที่โรงพยาบาลวชิรฯ 13 วัน คุณหมออนุญาตให้กลับมาพักฟื้นที่บ้านและนำ นสพ. ที่เสนอข่าวชนรถถังประท้วงคปค. ของผม พบคำสัมภาษณ์ท่านรองโฆษก ใน นสพ. ตรงกันหลายฉบับด้วยถ้อยคำที่กล่าวมาข้างต้นและยังปรามาสว่าผมแก่แล้ว คงทำด้วยอารมณ์ชั่ววูบ ก็มีเวลาเอาสีมาพ่นข้อความรอบตัวรถยังคิดว่าอารมณ์ชั่ววูบ ไม่น่าให้ทำงานและกินเงินเดือนที่ได้มาจากภาษีของประชาชนเลย.

ความ คิดผม เมื่อหายป่วยดีก็จะทำมาหากินขับรถ TAXI ไม่ก่อวีรกรรมอีกต่อไป แต่พบข้อความการให้สัมภาษณ์ นสพ. ของท่านรองโฆษก คปค. ในเชิงปรามาสดังกล่าวก็เลยต้องสนองตอบกันหน่อย เพราะนิสัยคนไทยฆ่าได้แต่หยามไม่ได้ และเหตุผลที่ผมเลือกวันสุดท้ายของเดือนตุลาคมเป็นวันพลีชีพเพราะเดือนนี้ เป็นเดือนที่วิญญาณของวีรชนที่สถิตอยู่ที่อนุสรณ์สถานฯ ที่ผมทำการพลีชีพนี้ได้เรียกร้องกระทั่งได้มาซึ่งประชาธิปไตย และวิญญาณของผมก็จะสถิตอยู่กับเหล่าวีรชนแห่งนี้ตลอดไป และขอยืนยันว่าปฏิบัติการทั้งสองครั้งทำด้วยใจ ไม่มีใครจ้าง

สุดท้าย ขอให้ลูกๆ และภรรยาจงภูมิใจในตัวพ่อ ไม่ต้องเสียใจ ชาติหน้าเกิดมาคงไม่พบเจอการปฏิวัติอีก

ลาก่อน พบกันชาติหน้า

ปล. ขอแก้ข่าว ขวดยาที่พบในรถภายหลังเกิดเหตุคืออาหารเสริมแคปซูลใบแปะก๊วยไม่ใช่ยาแก้ เครียดตามที่ลงข่าว นสพ. ผมไม่เครียดแต่ประท้วงจอมเผด็จการ

สวัสดีครับ


29 ตุลาคม 2549
(นายนวมทอง ไพรวัลย์)

ประวัติศาสตร์ชาติไทยจะ ยกย่องใครเป็นวีรบุรุษก็ตาม แต่สำหรับหมาน้อยแล้ว ประชาชนคนชื่อ "นวมทอง ไพรวัลย์" เป็นวีรบุรุษในใจของหมาน้อยตลอดไป