วันเสาร์ที่ 12 มิถุนายน พ.ศ. 2553

ทำบุญสักครั้งเถอะครับ



เรียน ท่านนายกรัฐมนตรี นายอภิสิทธ์ เวชชาชีวะ

ผมขออนุญาตเขียนถึงท่าน คุยกับท่านด้วยหัวใจคนไทยกับคนไทยคุยกันสักครั้ง ผมจะถอดเสื้อแดงวางไว้ก่อนแล้วสื่อสารกับท่านด้วยจิตใจที่รักสงบ

ท่านครับ ท่านคงเข้าใจดีว่า ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นวันนี้นั้น เป็นเรื่องการเมือง การเมืองควรแก้ด้วยการเมืองครับ วันนี้ท่านเลือกเส้นทางใหม่ให้กับชีวิตท่านแล้ว โดยยืมมือศาลรับรองอำนาจการปราบปรามผู้ชุมนุมโดยถูกต้องตามกฎหมาย

ท่านครับ ท่านเป็นคนกรุงเทพฯ คนกรุงเทพฯก็ย่อมมี “จริต” อย่างหนึ่ง ซึ่งก็คงเหมือนกับผมที่เป็นคนกรุงเทพที่เหลือกินเหลือใช้ มีข้าทาสบริวารรับใช้ ชี้นิ้วสั่งงาน ไม่พอใจก็โวยวาย ใครมาทำอะไรให้ร้อนนิด รถติดหน่อยก็ทนไม่ได้เอ็ดตะโรด่าทอ เห็นเงินเห็นอำนาจเป็นพระเจ้า เห็นทหาร เห็นตำรวจ เป็นเหมือนพลเมืองชั้นสอง ที่ตำหนิได้ ทำผิดกฎหมายก็ติดสินบนได้ เห็นคนอิสานเป็นกรรมกรแรงงาน เห็นคนเหนือเป็นโสเภณีค้ายาเสพติด เห็นคนบ้านนอกไร้การศึกษา พูดจาก้าวร้าวไร้การอบรมสั่งสอน คนกรุงเทพฯ จะพลิกแพลงกฎ ระเบียบ กฎหมายเพื่อกดขี่เข้าข้างพรรคพวกตัวเองได้ตามใจปรารถนาตามอำนาจและเงินของตน นั่นคือความจริงครับ

ท่านครับ คนต่างจังหวัดก็จะมี “จริต” แตกต่างไปจากคนเมือง เขาเกิดมากับความยากจน เขาต้องดิ้นรนเลี้ยงชีพทุกวิถีทางที่เขาทำได้ สุจริตบ้าง ไม่สุจริตบ้าง ต้องจากบ้านจากครอบครัวมาทำงานในกรุงเทพฯ เป็นลูกจ้างร้านก๋วยเตี๋ยว มาขับรถแท็กซี่ มาขับรถเมล์ฉวัดเฉวียน มาเช่าห้องแถวอยู่แออัด เลิกงานก็กินเหล้าย้อมใจโหวกเหวกโวยวายตามประสา ประดามี จะไขว่คว้าหาปริญญาสร้างอนาคตเพื่อถีบตนให้พ้นจากคำว่า “พวกไร้การศึกษา” ก็ยากเต็มที ทำงานเจอนายจ้างดีก็ดีไป เจอคนใจร้ายหน่อยก็ต้องกัดฟัน เลือกตั้งทีไรใครให้เงินก็รับไว้ เลือกไหมก็อีกเรื่อง นั่นคือความจริงครับ

เมื่อเอา “จริต” คนกรุงเทพฯ มีการศึกษามาจับพฤติกรรมคนต่างจังหวัด ก็รู้สึกดูถูก เหยียดหยามว่าไร้การศึกษา เมื่อเอา “จริต” คนต่างจังหวัด มาดูคนกรุงเทพ ก็รู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจ อยู่อย่างเจียมตัว พาลไปถึงหากมีโอกาสแก้แค้นก็คงอยากทำบ้าง

เท่าที่ผ่านมานั้น ทั้งคนกรุงเทพ และต่างจังหวัดก็ต่างอยู่กันอย่างน้ำพึ่งเรือ เสือพึ่งป่า และสิ่งที่ทำให้เขาสองฝ่ายรู้สึกเท่าเทียมกันบ้างก็คือ การได้สิทธิเลือกตั้ง แม้ฝ่ายคนกรุงเทพจะได้เปรียบจากการเขียนกติกาเองก็ตาม แม้คนต่างจังหวัดจะเลือกรัฐบาล แล้วคนกรุงเทพก็ล้มรัฐบาลมาโดยตลอด แต่ไม่เคยมีสักครั้งที่จะกระทบกระทั่งกันจนถึงจุดแตกหักเช่นวันนี้

ท่านนายกรัฐมนตรีครับ ท่านอาจคิดว่า ทำไมคนกรุงเทพฯ อย่างผมถึง “ไฝ่ต่ำ” ไปเข้าอกเข้าใจคนต่างจังหวัด ทำไมไม่เข้าใจหัวอกความเดือดร้อนของคนกรุงเทพเหมือนกันละ เหตุผลคือ เพราะผมเองนั้น เวลามอง จะมองโดยถอดตัวผมออกจากสมการ แล้วเอาสองฝ่ายมาเปิดวางบนโต๊ะ แล้วมองบริบท เหตุผล เหตุการณ์ โดยไม่คิดวาดภาพก่อนว่าจะต้องเป็นเช่นไร แต่ปล่อยให้เกมส์มันดำเนินไปด้วยตัวมันเอง มองด้วยความเป็นจริง แล้วทำความเข้าใจกับมัน

ท่านครับ ผมคงไม่ปฏิเสธว่า เทียบวัดมวยตัวต่อตัว ระหว่างท่านและทีมงานรัฐบาล กับแกนนำ นปช. ท่านมีภาพลักษณ์ที่ดี เรียนหนังสือเก่ง พูดได้โล่ ทำงานได้ถ้วย พูดจาไพเราะยึดถือหลักการแม่นยำ อีกฝ่ายหนึ่งรูปชั่วตัวดำ ไร้การศึกษา ไร้อาชีพเป็นหลักฐาน พูดจาก้าวร้าว ผมก็ไม่ปฏิเสธ

ท่านครับ เมื่อคราวพันธมิตรทำร้ายทุกอย่างกับบ้านเมือง สังคมเราได้สร้างมาตรฐานไว้อย่างหนึ่ง วันนี้เสื้อแดงก็เดินย่ำเทียบรอยนั้นแต่เดินด้วยความระมัดระวังไม่ให้ผิดกฎหมาย ท่านก็กลับมีมาตรฐานอีกอย่างหนึ่ง ผมคงไม่ต้องอธิบายคำว่า ไร้มาตรฐานและความยุติธรรม เพราะต่อให้พูดให้ตาย ท่านก็คงไม่ “รู้สึก” อะไรเพราะท่านมีเป้าหมายไว้ในใจอยู่แล้ว

ท่านพูดได้ครับ ว่าท่านเป็นนายกฯ ด้วยการเลือกอย่างประชาธิปไตยจากสมาชิกสภาผู้แทนฯ แต่ท่านถามใจลึกๆของท่านดู ด้วย “หิริโอตัปปะ” ของท่านสิครับ ว่าท่านมาเป็นนายกรัฐมนตรีของประเทศไทยได้ด้วยฝีมือของใคร ของท่านหรือของคนอื่น ท่านคิดด้วยสำนึกจริงๆเถิดครับ ว่าท่านกล้าหาญเพียงใด ที่จะกล้าสั่งทหารหยิบปืนมายิงประชาชนทิ้ง เพื่อให้ท่านได้เป็นนายกรัฐมนตรีต่อไปอีกแค่หนึ่งปีเศษ ท่านเคยคิดหรือสำนึกบ้างไหมครับว่าท่านเป็นนายกรัฐมนตรีของคนไทยทั้งชาติทุกภาคส่วน หรือท่านคิดเพียงแค่ท่านเป็นนายกรัฐมนตรีของคนกรุงเทพเท่านั้น

ท่านครับ ผมมองวันนี้แทบจะหาคำตอบไม่ได้ว่า หากเสื้อแดงชนะ ท่านจะอยู่อย่างไร ผมมองไม่ออกเลยว่าหากท่านนายกฯชนะ ท่านจะปกครองชาติต่อไปได้อย่างไร ยังไม่นับซากศพและกองปรักหักพัง ยังไม่นับถึงจลาจลซึ่งเวลานั้นไม่สามารถกำหนดอะไรได้ทั้งสิ้น เฉพาะห้างสรรพสินค้า โรงแรม ร้านค้าสารพัดแวดล้อมทั้งหมด นับไปมาไม่ต่ำกว่า 100 แห่ง จะต้องราบพนาสูร ท่านอาจนึกตำหนิว่า คนมาชุมนุมอันธพาล ใช้สิทธิ์อะไรในการทำร้ายหรืออาจกลายเป็นจลาจล ผมก็ไม่ได้สนับสนุนหรือเห็นด้วยสักเท่าไร แต่ผมก็ไม่ได้เต็มใจที่ให้อำนาจท่านออกมายิงประชาชนทิ้งเหมือนหมูเหมือนหมาเช่นกัน

ท่านครับ การที่ท่านเสียสละไม่ใช่เป็นการเสียหน้า หรือเป็นความผิด แต่ผมจะยกย่องให้เป็นการเสียสละอย่างยิ่งของท่าน ท่านเหมือนปิดทองหลังพระองค์ใหญ่มหาศาลทุกองค์ทั่วประเทศพร้อมกัน ท่านจะช่วยปกป้องชีวิต ทรัพย์สิน และให้ชาติรอดพ้นวิกฤตไปได้อีกครั้งหนึ่ง แม้อาจไม่สามารถแก้ปัญหาได้หมดเหมือนที่ท่านว่า แต่พอจะยังนำพาประเทศชาติรอดพ้นวิกฤตไปได้อีกสักระยะหนึ่ง เสื้อแดงก็จะยังไม่จบ เสื้อเหลืองก็ยังอยู่ในคราบชมพู วิกฤตก็ยังคงดำเนินต่อ แต่จะไม่มีการสูญเสียเลือดเนื้ออย่างที่คิด ท่านอาจถามว่าทำไมฝ่ายเสื้อแดงไม่เสียสละบ้าง ผมก็คงกราบเรียนท่านด้วยความเคารพว่า ในเมื่อท่านตราหน้าว่าคนชุมนุมเสื้อแดงเป็นคนดื้อ ไม่มีเหตุผล ไร้การศึกษา ชุมนุมละเมิดกฎหมาย คนดื้อขนาดนี้ท่านจะไปสู้รบให้เดือดร้อนบ้านเมืองทำไม ท่านต้องรีบให้การศึกษา พัฒนาอาชีพ ความรู้ และโอกาสในชีวิตแก่เขาเหล่านี้เพื่อพัฒนาตนให้เจริญก้าวหน้า เขาจะได้ไม่ต้องมานั่งกลางแดด กลางถนนดังเช่นวันนี้อีก

ท่านครับ ท่านเลือกเส้นทางเดินชีวิตท่านแล้ว ศาลได้ตีตรารับรอง “สิทธิการฆ่าโดยถูกต้องตามกฎหมาย” แก่ท่านแล้ว ผมอยากให้ท่านทบทวนอีกสักครั้งก่อนหยิบปืนว่า

“ท่านมองเขาเหล่านั้น เป็นเพื่อนร่วมชาติ เป็นมนุษย์ หรือเป็นไพร่ เป็นสัตว์เดียรัจฉาน ที่ท่านจะลุกมาฆ่ายิงทิ้งเหมือนหมาข้างถนนได้ทุกเวลา”

ท่านทำบุญสักครั้งเถิดครับ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น